Market Summary 11/05/2018
Close
|
1,765.93
|
Volume
|
Bt52,236M
|
Change
|
19.04
|
P/E
|
17.92
|
%Change
|
1.09%
|
P/BV
|
2.04
|
หุ้นแนะนำพิเศษ
QH Analyst Meeting (ราคาปิด 3.10 ลงทุนระยะยาวรับเงินปันผล Bloomberg Consensus 3.54)
- 1Q61 มีกำไร 845 ลบ. -7%QoQ +29%YoY แม้มีรายได้รวม -21%QoQ -5%YoY จากรายได้จากการโอนอสังหาฯลดลงแต่รายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากการปรับเพิ่ม room rate 5-7% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นรวมดีขึ้นเป็น 35% จาก 33% ใน 4Q60 และ 30% ใน 1Q60 จากโครงการอสังหาฯมีอัตรากำไรขั้นต้นฯปรับดีขึ้นหลังโครงการเก่าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำเหลือน้อยลง ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสู่ 13% จาก 12% ใน 4Q60 และ 8% ใน 1Q60 ปลายงวด 1Q61 มี backlog 3.8 พันลบ.
- ความเห็น แนวโน้มกำไร 2Q61 น่าจะปรับดีขึ้น YoY จากฐานต่ำเพียง 776 ลบ. ใน 2Q60 ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกจากความสามารถทำกำไรที่มีปรับดีขึ้นหนุนผลการดำเนินงานเติบโตมากกกว่าคาด และคาดว่า Bloomberg Consensus ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 61 จากปัจจุบันราว 3.6 พันลบ. +5% นอกจากนี้ QH ยังถือหุ้นอื่นในตลาดโดยถือหุ้น HMPRO 19.87% LHFG 13.74% QHPF 25.66% QHHR 31.33% ซึ่งมี mkt. cap เฉพาะส่วนที่ QH ถืออยู่คิดเป็น 4.26 บาทต่อหุ้น (ราคาปิด ณ 11 พ.ค.61) ประกอบกับมี yield ราว 6-7% ขณะที่ PER 9 เท่าต่ำกว่ากลุ่มที่ 17 เท่า จึงแนะนำลงทุนระยะยาวรับเงินปันผล
ส่องหุ้น
DIGI แนวรับ 0.60-0.59 บาท แนวต้าน 0.66 , 0.70-0.72 บาท
ระดับราคาเริ่มดีดกลับขึ้นมาต่อเนื่องหลังจากในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ระดับราคาได้หลุดลงไปทดสอบแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันแล้วไม่หลุด อีกทั้งยังเกิดสัญญาณโดจิ จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาโดยตลอด หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่าแถวๆ 0.60-0.59 บาทอีก ระดับราคาจึงจะมีลุ้นดีดกลับขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมในรอบ 8 วันแถวๆ 0.66 บาท ก่อนผ่านขึ้นทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันและจุดสูงสุดเดิมในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 0.70-0.72 บาทต่อไป
MGT แนวรับ 2.38 บาท แนวต้าน 2.46 , 2.56-2.62 บาท
ระดับราคาสามารถดีดกลับขึ้นมาทำ New high ในรอบ 2 สัปดาห์ได้แล้ว พร้อมวอลุ่มซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย อีกทั้ง MACD ที่ไม่หลุดลงไปต่ำกว่าศูนย์ เริ่มที่จะดีดกลับเล็กน้อย หากวันนี้ระดับราคาอ่อนตัวลงมาแถวๆ 2.38 บาทอีก น่าซื้อเพิ่ม ลุ้นดีดกลับขึ้นต่อได้แถวๆ 2.46 บาท ก่อนผ่านขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมในรอบ 3 สัปดาห์แถวๆ 2.56-2.62 บาทต่อไป
UTP แนวรับ 11.60-11.50 บาท แนวต้าน 12.10 , 13.10 บาท
ระดับราคาเริ่มดีดกลับขึ้นทำ New high วันต่อวันได้อีกครั้งแล้ว และกำลังมีลุ้นขยับขึ้นทดสอบแนวต้านจุดสูงสุดเดิมในรอบ 8 วันที่ 12.10 บาทอีกด้วย หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่าแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันที่ 11.60-11.50 บาทซะก่อน น่าซื้อเพิ่มลุ้นดีดกลับแถวๆ 12.10 บาท ก่อนผ่านขึ้นทำ New high แถวๆ 13.10 บาทต่อไป
Market View : ลุ้นไปต่อ
หุ้นแนะนำพิเศษ : QH
หุ้นมีข่าว : PTTEP MGT AP LH D
Technical Insight : SSP TMB
ภาวะตลาดหุ้นวานนี้ ปรับตัวขึ้นแรงอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัยบวกต่างประเทศ ทั้งเงินเฟ้อสหรัฐฯฟื้นตัวช้ากว่าคาด ผ่อนคลายการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ FED และค่าเงินบาทยังกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง เปลี่ยนแนวโน้ม Fund Flow ในระยะสั้น เป็นผลให้หุ้น Big Cap. หนุนตลาดหลักๆ คือ ENERG BANK PETRO TRANS HELTH ICT เป็นต้น ส่งผลให้ SET Index ปิดที่ 1,765.93 จุด (+19.04 จุด) Volume 5.22 หมื่นลบ. ทั้งนี้เป็น Foreign Net +2,013.24 ลบ. TFEX Net –7,020 สัญญา ตราสารหนี้ -574.43ลบ.
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย
+ดาวโจนส์ปิดดีดตัวขึ้นติดต่อกันนานสุดในรอบ 6 เดือน จาก CPI เดือน เม.ย. ที่ขยายตัวเล็กน้อย และความเห็นของสมาชิก FED ที่มองว่ายังไม่ถึงเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่
-น้ำมันย่อตัวลง หลังจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ (Baker Huges) เพิ่มขึ้น 10 แท่น มาอยู่ที่ระดับ 844 แท่น สูงสุดตั้งแต่ มี.ค.2558 และประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศที่จะยังคงสนับสนุนข้อตกลงเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านต่อไป
+สหรัฐรายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐทรงตัวที่ระดับ 98.8 ในเดือนพ.ค. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.5
+ประธานเฟดเซนต์หลุยส์หนุนชะลอขึ้นดอกเบี้ย หวั่นกระทบการลงทุนและการจ้างงาน
+/- Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD ขาย 9.27 หมื่นล้านบาท (ล่าสุดซื้อสุทธิครั้งแรกรอบ 15 วันทำการ ขณะที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าต่อเนื่อง 3 วันทำการ อยู่ที่ 31.82 บาท/USD
**จับตาการประชุม กนง. ในวันพุธที่ 16 พ.ค. 61
ภาวะตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับขึ้นต่อเนื่องหลายวัน และการที่นักลงทุนต่างชติพลิกเป็นซื้อสุทธิ โดยมีปัจจัยลบจากราคาน้ำมัน คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,757-1,769 จุด
กลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไรกลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุน
- PSL TTA ค่าระวางเรือปรับตัวขึ้นสู่ 1,453 จุด +11% ใน 8 วันที่ผ่านมา
- หุ้น MAI ที่คาดว่าผลประกอบการเติบโต SPA XO
- BANPU ราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นสู่ 101$/Ton +9% ในช่วง 12 วันที่ผ่านมา
- คาด KTC BEAUTY GULF เข้าคำนวณดัชนี MSCI และลุ้นเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย (ที่มา ข่าวหุ้น)
หุ้นมีข่าว
- PTTEP Analyst meeting (มุมมอง Neutral)
- บริษัทคาดราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวเฉลี่ย 67 $/bbl โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกที่ยังคงตรึงกำลังการผลิต อีกทั้งประเด็นการคว่ำบาตรอิหร่านจากสหรัฐเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม
- ปริมาณการใช้ก๊าซฯ ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากปี 16 ที่ 5,016 MMSCFD สู่ระดับ 4,851 MMSCFD ในปี 18 จากความต้องการใช้ก๊าซฯผลิตไฟฟ้าลดลงหลังมีโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น และความต้องการใช้ NGV จากรถยนต์ปรับตัวลงจากราคาน้ำมันที่ลดต่ำลง ส่งผลให้การลงทุนในประเทศเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ อาทิ พลังงานทดแทนเข้ามาเสริม ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศยังเน้นการขยายกำลังการผลิตทั้งก๊าซฯและน้ำมันอย่างต่อเนื่อง
- การประมูลแหล่งบงกชและเอราวัณ บริษัทเน้นการประมูลไปที่แหล่งบงกชเนื่องจากเป็นผู้ดำเนินการในปัจจุบัน โดยเบื้องต้นการประมูลในครั้งนี้ทางภาครัฐกำหนดให้ราคาประมูลเป็น บาทต่อMMBTU และสูตรราคาตลอดอายุสัญญา 10 ปีผูกกับราคาน้ำมันดูไบซึ่งต่างจากสูตรเก่าที่อิงตามราคาน้ำมันเตา(ข้อดีคือปรับราคาขายได้เร็วขึ้น) โดยภาครัฐกำหนดการผลิตขั้นต่ำจากแหล่งเอราวัณและบงกชที่ 800MMSCFD และ 700MMSCFD ตามลำดับ
- คาดผลประกอบการไตรมาส 2 อาจไม่เติบโตมากนักแม้ว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับสูงและราคาจำหน่ายก๊าซฯจะยังปรับตัวขึ้นจาก 6.07 $/MMBTU สู่ 6.3 $/MMBTU แต่ต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจาก 27$/bbl สู่ 31$/bbl จากการรับรู้แหล่งผลิตใหม่และแหล่งผลิตที่มีต้นทุนสูงกลับมาดำเนินการผลิตเป็นปัจจัยกดดันต่อผลประกอบการ
- MGT (ราคาปิด 2.38 บาท ซื้อ Bloomberg Consensus 3.12 บาท)
- กำไรงวด 1Q61 ออกมาต่ำกว่าคาดมาอยูที่ 13.18 ล้านบาท (ต่ำราว 17%) แต่ยังเติบโตได้ราว 12%YoY แม้ราวได้รวมจะชะลอตัวเล็กน้อยราว 8.3%YoY แต่อัตรากำไรขั้นต้นยังเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 27.2% มาอยู่ท่ 31.5% ทำ New High ได้ตามคาด นอกจากนี้ผลขาดทุนจากบริษัทร่วม หรือ VTL แม้มีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย YOY จากที่ 0.73 ล้านบาท มาอยู่ที่ 0.94 ล้านบาท แต่ยังมีแนวโน้มที่ลดลง QoQ ชัดเจน จากผลขาดทุนในงวด 4Q60 กว่า 2.3 ล้านบาท หลังหยุดการผลิตในช่วงปลายปีก่อน ขณะที่ SG&A ไม่ได้ลดลงตามที่คาดไว้
- กำไรที่ต่ำจากที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ เชื่อว่าไม่ได้มีผลต่อประมาณการทั้งปีมากนัก เนื่องจากคำนวนเป็นตัวเงินเพียง 2 - 3 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นงวด 1Q61 ยังออกมามากกว่าสมมติฐานในประมาณการ โดยแม้ตั้งแต่ต้นงวด 2Q61 จนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่า 2.3% แต่ค่าเฉลี่ยรายไตรมาสยังทรงตัวกับงวด 1Q61 โดยยรวมจึงคาดว่า MGT น่าจะยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับสูงต่อไปได้ และน่าจะมียอดขายที่เติบโตหลังจากมีการเพิ่มงบประมาณทีมขายเพื่อเพิ่มสินค้าในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"
- BCP (ราคาปิด 36 บาท Bloomberg Consensus 45 ) รายงานกำไร 1Q61 อยู่ที่ 1,146 ล้านบาท -45%Yo และ -17%QoQ ผลประกอบการอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากผลประกอบการธุรกิจโรงกลั่นถูกกดดันจากต้นทุนราคาน้ำมัน(Crude Premium) ที่ปรับตัวขึ้น อีกทั้งค่าการกลั่นอ่อนตัวลงตามน้ำมันเบนซินและน้ำมันเตาที่ปรับตัวลง อีกทั้งมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบอีก 70 ล้านบาทเข้ามากดดันเพิ่มเติม ด้านผลประกอบการสถานีจำหน่ายน้ำมันปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 4/60 แม้ว่าปริมาณจำหน่ายจะปรับตัวลง 3%QoQ แต่ค่าการตลาดต่อลิตปรับตัวขึ้นจาก 0.7 บาทต่อลิตรสู่ 0.83 บาทต่อลิตรตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ธุรกิจโรงไฟฟ้าผลประกอบการปรับตัวลงแม้ว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นจะดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มแต่ไม่มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าซื้อกิจการส่งผลให้กำไรปรับตัวลงจากไม่มีรายการพิเศษดังกล่าว
- BANPU (ราคาปิด 20.40 บาท Bloomberg Consensus 27.15) รายงานขาดทุน 1Q61 ที่ 1,262 ล้านบาท -188%YoY และ -157%QoQ เนื่องจากมีค่าปรับจากคดีความหงสาราว 2.5 พันล้านบาท และผลขาดทุนจากค่าเงินราว 1 พันล้านบาทเข้ามากดดัน อย่างไรก็ตามผลประกอบการธุรกิจธุรกิจถ่านหินปรับตัวดีขึ้นตามราคาถ่านหินที่ทรงตัวในระดับสูงกว่า 90$/Ton แม้ว่าปริมาณขายจะปรับตัวลง 1.2 ล้านตันจากไตรมาส 1/60 สู่ 7.3 ล้านตันเนื่องจากเหมืองในออสเตรเลียและอินโดนีเซียผลิตถ่านหินได้ลดลงจากสภาพธรณีวิทยาและเผชิญกับฤดูฝน ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นจากโรงไฟฟ้า BLCP และ โรงไฟฟ้าหงสาเดินเครื่องได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แม้ว่าโรงไฟฟ้าในจีนผลประกอบการจะอ่อนตัวลงจากต้นทุนถ่านหินที่ปรับตัวขึ้นก็ตาม
- AP Analyst meeting (ราคาปิด 8.25 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 9.72)
- 1Q61 มีกำไรสุทธิ 807 ลบ. +47% โดยมีรายได้ 5.6 พันลบ. +34% มาร์จิ้นปรับดีขึ้นเป็น 35.3% จาก 32.8% ใน 1Q60 แต่ยังต่ำกว่าระดับ 37.4% ใน 4Q60 การคุมคชจ.ได้ดีทำให้สัดส่วนคชจ.ขายและบริหารต่อยอดขายทรงตัวเท่ากับ 4Q60 ที่ 18% และลดลงจาก 21.8% ใน 1Q60 อย่างไรก็ดี การมีคอนโดฯร่วมทุนส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 14% ปรับดีขึ้นจาก 13% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
- ความเห็น กำไร 2Q61 มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากการเริ่มโอนโครงกา Life-อโศก ปลายเดือนเม.ย. และจะคาดจะสูงสุดรายไตรมาสในไตรมาสสุดท้ายที่เป็นช่วงฤดูกาลและการเริ่มโอนโครงการ Aspire-สาธร ราชพฤกษ์ Bloomberg คาดกำไรปี 61 ราว 3,454.22 เติบโต 9.41% ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกจากกำไรมีศักยภาพในการเติบโต yield สูงราว 4-5% และมี PER ต่ำที่ 8.5 เท่าต่ำกว่ากลุ่มที่ 17 เท่า
- LH (ราคาปิด 10.60 ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 12.90)
- รายงานกำไรสุทธิในช่วง 1Q61 เท่ากับ 2,466 ลบ. +39% พร้อมแจ้งข่าวบริษัทย่อย (ถือหุ้น 100%) ขายอพาร์ทเม้นท์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ในราคา 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,480 ล้านบาท ซึ่งมีกำไรหักภาษีเงินได้ประมาณ 41.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,317.44 ล้านบาท รับรู้กำไรในช่วง 2Q61 (ที่มา SET news)
- ความเห็น กำไรยังเติบโตดีและมีอัพไซต์จากรายการพิเศษดังกล่าวหนุนกำไร 2Q61 เติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ทั้งนี้ กำไรทั้งปี 61 มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า Bloomberg Consensus คาดกำไรปกติปี 61 ราว 9,313 ลบ. -10.99%
- D (ราคาปิด 10.5 ถือ ราคาเหมาะสม 10.80) เข้าซื้อกิจการวัสดุและอุปกรณ์ด้านทันตกรรมมูลค่าลงทุนไม่เกิน 250 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ 200 ลบ. และเงินทุนหมุนเวียน 50 ลบ.เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม ในการช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ D แจ้งไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 11.03 ลบ. -11%YoY -1%QoQ
- ความเห็น กำไร 1Q61 คิดเป็น 19% ของประมาณการปี 61 ที่ราว 58 ลบ. เบื้องต้นยังคงประมาณการตามเดิม จากที่คาดว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใน Q2 จากรับรู้รายได้จากคลินิกทันตกรรมที่เข้าซื้อ 3 แห่งที่รับรู้รายได้เต็มไตรมาส
ข่าวเด่น