ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+/-) ตลาดต่างประเทศ DJIA +68.24, NASDAQ +8.43, S&P +2.41, FTSE -13.57, CAC -1.26 และ DAX -23.53
หลังคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยรัฐบาลสหรัฐฯ และจีนกำลังร่วมมือกันเพื่อเปิดทางให้บริษัท ZTE ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสารของจีน สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้ง ก่อนหน้า (กลางเม.ย. ที่ผ่านมา) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐฯ ขายสินค้าให้กับ ZTE เป็นเวลา 7 ปี เนื่องจาก ZTE ได้ขายสินค้าให้กับอิหร่าน
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์การเมืองในอิตาลีอย่างใกล้ชิด จากรายงานว่าอิตาลีเตรียมตั้งรัฐบาลผสม หลังสองพรรคการเมืองใหญ่บรรลุข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. +US$0.26 อยู่ที่ US$70.96 ต่อบาร์เรล หลังโอเปกปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันของโลกในปี’61 อีก 1.65 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 98.85 ล้านบาร์เรล/วัน และยังได้รับปัจจัยหนุน จากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง จากชาวปาเลสไตน์เดินขบวนประท้วงการเปิดสถานทูตสหรัฐฯ แห่งใหม่ในกรุงเยรูซาเลม
ขณะที่ยังได้รับปัจจัยลบ จากคาดการณ์การผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศนอกโอเปก เพิ่มขึ้น 1.72 ล้านบาร์เรล สสู่ระดับ 59.62 ล้านบาร์เรล/วันในปี’61 โดยสหรัฐฯ ครองสัดส่วนผลิตน้ำมันมากถึง 89% ในกลุ่มนอกโอเปก พร้อมกับการผลิตน้ำมันของแคนาดา บราซิล สหราชอาณาจักร และคาซัคสถาน เพิ่มขึ้นเช่นกัน และอยู่ระหว่างติดตามการประชุมโอเปก (22/6/61) คาดมีการทบทวนนโยบายการผลิตน้ำมัน การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน ครบกำหนดสิ้นปีนี้
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. -US$2.5 อยู่ที่ US$1,318.2 ต่อออนซ์ ส่วนหนึ่งจากเงินสหรัฐฯ ที่แข็งค่า ลดความน่าสนใจของสัญญาทองคำ และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่นหุ้น หลัง DJIA ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 8 วันทำการ
(-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -263 ล้านบาท ยอดสะสม -92,998 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท และปี’60 ขายสุทธิสะสม 25,755 ล้านบาท)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 15 - 16 พ.ค. 61
15/5/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ดัชนีภาคการผลิต - พ.ค.
(2) ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.
(3) สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมี.ค.
(4) ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพ.ค.
16/5/61 ไทย : ประชุม กนง.
สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนเม.ย.
(2) การผลิตภาคอุตสาหกรรม-การใช้กำลังการผลิตเดือนเม.ย.
(3) สต็อกน้ำมัน
ทิศทางตลาด
ผันผวน? คาดมีโอกาสเคลื่อนไหวบวก / ลบ ตามตลาดต่างประเทศที่ไร้ทิศทาง ภายใต้ประเด็นเดิมจากต่างประเทศ (+) ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีทิศทางที่ดีขึ้น ภายใต้การเจรจา (-) Fund Flow ที่กลับมาเพิ่มขึ้น และทรงตัวในระดับ 3.0% พร้อมกับเงินสหรัฐ ฯ ที่แข็งค่า
ยังแนะติดตามการประชุมเฟด (12 – 13/6/61) ที่คาดสร้างความผันผวนจนถึงวันประชุม อย่างไรก็ตามคาดในครั้งนี้มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25%
ทางด้านราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูง คาดยังส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยคาดในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับปัจจัยหนุนจากความเป็นไปได้ที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน จะมีการขยายระยะเวลาปรับลดการผลิตจากเดิมครบกำหนดปลายปีนี้
ส่วนทางด้านประเด็นในประเทศ ยังอยู่ในช่วงท้ายๆ ของประกาศผลการดำเนินงาน – 1Q61 แนะระวังแรงขายทำกำไร (Sell on Fact) หลังหมดช่วงประกาศงบฯ กลางสัปดาห์นี้ พร้อมแนะติดตาม Fund Flow หลังมีความผันผวน แรงซื้อขายสุทธิสลับกันไป อย่างไรก็ตาม YTD ยังเป็นยอดขายสุทธิสะสมสูงเกือบ 93,000 ล้านบาท นอกจากนี้มีการประชุม กนง. (16/5/61) คาดในครั้งนี้ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% แม้อัตราเงินเฟ้อล่าสุดเพิ่มขึ้น แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2.5%±1.5%
ทางด้านการเมือง โดยเฉพาะจากการยื่นร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ อาจส่งผลต่อ Road Map เลือกตั้งในเดือนก.พ.’ 62 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ขาด ในวันที่ 23/5/61 นี้
อย่างไรก็ตามในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับ Sentiment บวกจากความคืบหน้าโครงการ EEC ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอประกาศใช้เป็นกฎหมาย คาดส่งผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ภายใต้โครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน รวมถึงล่าสุด รมว.คมนาคม คาดในเดือนพ.ค. - มิ.ย.นี้ เสนอครม. เพื่อขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่คาดว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ และงานเดินรถ จะรวมเป็นรูปแบบ PPP และเตรียมจะเสนอ ครม.ได้ประมาณ 3Q/61
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
(2) กลุ่มพลังงาน ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น PTT, PTTEP, BANPU และ SPRC เป็นต้น
(3) กลุ่มสื่อ ได้รับประโยชน์จากรายได้ค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นโดดเด่น เช่น MONO
(4) กลุ่มท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เช่น CENTEL, ERW และ SPA เป็นต้น
(5) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยว เช่น AOT และ PSL จากค่าระวางเรือ และ BTS จากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย
(6) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการ EEC ที่มีความชัดเจนขึ้นตามลำดับ คาดได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.02 อยู่ที่ 3.00% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.28 อยู่ที่ 12.93
หุ้นแนะนำ : MTC
ข่าวเด่น