“ถูกกดจาก Bond Yield และ MSCI เพิ่มหุ้นจีน”
SET Recap
SET ปิดที่ระดับ 1,766.86 จุด ลดลง 6.24 จุด (-0.35%) มูลค่าการซื้อขาย 60,117.59 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับลงตามตลาดหุ้นเอเชีย จากปัจจัย Bond Yield สหรัฐฯแตะ 3% อีกครั้งส่งผลกระแสเงินทุนไหลออก และราคาน้ำมันลดลงกดดันหุ้นพลังงานอยู่ในช่วงเช้าแต่ลดลงในช่วงบ่ายหลัง
SET Outlook
ประเมินดัชนีฯยังแกว่งกรอบแคบมีแนวโน้มติดลบ … ตลาดขาดปัจจัยช่วยไปหลายตัว Bond Yield และดอลล่าร์ของสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นหลังตัวเลขยอดค่าปลีก+ตัวเลขภาคอุตสาหกรรมออกมาดี Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาด กลับมาเป็นตัวแปรหลักกดดันตลาดหุ้นวันนี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง (WTI เช้านี้ $71 เหรียญ) และการนำเอาหุ้นจีนเข้าคำนวณดัชนี MSCI Emerging Market มีน้ำหนัก 0.39% (ที่มา : bloomberg) ทำให้นักลงทุนหันไปสนใจหุ้นจีนมากขึ้น ... วันนี้ ตลาดจะให้ความสนใจกับ เรื่องต่อไปนี้ งบการเงิน บจ. ที่ครบกำหนดส่งงบเช้านี้ (ไม่ส่งขึ้น “SP”) ล่าสุด กำไร SET -0.7YoY ; +15% QoQ , ประชุม กนง. (คาดคงดอกเบี้ย 1.5%) และตัวเลขนักท่องเที่ยว (รายงาน 11.00 น.)
Recommendation
ตลาดขาดกำลังซื้อและเม็ดเงินใหม่ และถูกกดดันจากตัวแปรทางลบมากขึ้น การลงทุนยังต้องระมัดระวังตสำหรับหุ้นใหญ่ที่เสี่ยงต่อการถูกขาย ... การเช้าลงทุน เรายังเน้นไปที่ปัจจัยเฉพาะตัว และกรอบเวลาลงทุนสั้นๆ หุ้นขนาดใหญ่ วันนี้ เราให้ความสนใจกับหุ้นใหญ่ที่นักลงทุนอาจใช้เป็นตัวพักเงิน คือ BH และ LH รวมไปถึงหุ้นกลุ่มนิคมฯที่ผลการดำเนินงานออกมาดี เกาะกระแสลงทุนในอีอีซี คือ WHA และ AMATA ขณะที่หุ้นขนาดเล็ก เรามองเป็นจังหวะซื้อหุ้นราคาปรับตัวลงมามาก คือ HTECH ที่ order ลูกค้าใหม่เริ่มทยอยเข้า และ GFPT จากค่าเงินบาท ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง (ล่าสุด 32.12 บาท/ดอลล่าร์)
Technical: CK, ESSO , GCAP
* เป็นหุ้นที่แนะนำโดย KTBST ยังไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
Key Factors to Watch
? ส่งงบวันสุดท้าย
? แถลงผลการดำเนินงาน TPBI, SABINA, MALEE , PSL , AMANAH
? ตัวเลขท่องเที่ยว (16 พ.ค.) เวลา 11.00 น.
? ประชุม กนง. (16 พ.ค.) ตลาดคาดคงดอกเบี้ย 1.5%
? GDP 1Q ของกลุ่มอียู (15 พ.ค.)
? ศาลรธน.นัดชี้ขาดกฎหมายลูก ส.ส.-ส.ว. (23 พ.ค.)
Story of the Day
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นมาปิดเหนือ 3.0% อีกครั้ง คือ 3.068% พร้อมๆ กับ Dollar Index ก็ปรับขึ้นด้วยเช่นกัน ถือเป็นสัญญาณลบของตลาด วันแรกในรอบ 3 วันที่ผ่านมา (ตามรูป) เหตุผลหลักๆ คือตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดี ดัชนี Empire State Index เดือนพ.ค. สูงกว่าคาด ขณะที่ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. .... ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับดอกเบี้ยจาก 3 เป็น 4 ครั้งในปีนี้ กระทบต่อเงินลงทุนที่อาจไหลออกจากตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
Today Stock Picks
AMATA (ซื้อ, เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 24.0 บาท)
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1Q18 ที่ 413 ล้านบาท สูงกว่าที่เราคาด (310 ลบ.) จากยอดโอนที่ดินในนิคมจำนวน 107 ไร่สูงกว่าที่เราประมาณไว้ที่ 74 ไร่ ในขณะที่รายได้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Amata B.Grimm Power Rayong3 ในช่วง 1Q18 ที่ผ่านมา เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 1.5 พันล้านบาท (+10%) โดยเรามองว่าจำนวนโอนที่ดินจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 2Q18 ภายหลังที่ พรบ.อีอีซี อนุมัติ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา กอปรกับยอดขายที่ดินที่เลื่อนการโอนมาจาก 1Q18 นอกจากนี้เรามองว่าในระยะยาวบริษัทจะลดสัดส่วนยอดขายที่ดินในนิคม AMATA City Chonburi ตามการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมขายขาดที่ดินเป็นการปล่อยเช่าระยะยาว .... ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST 24.00 บาท (ราคาปิด 21.00)
BH (ซื้อ, เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 200 บาท)
เรามองว่าหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งมีการเติบโตไปเรื่อยๆ และได้อานิสงค์จากคนไข้เพิ่มจากโรคระบาดและลูกค้าต่างประเทศ และ BH จัดเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่เราคาดว่า ด้วยภาวะตลาดหุ้นที่ไม่แน่นอน BH อาจถูกเลือกเป็นที่พักเงินของนักลงทุน .....เราประมาณการกำไรสุทธิในปี 2018 ที่ 4,302 บาท เติบโต 9% YoY เติบโตจากการปรับขึ้นค่าบริการตั้งแต้นปี และการเน้นโรงพยายาลสู่โรงพยาบาลรักษาโรคยากด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ...... ราคาเหมาะสมโดย KTBST 223.5 บาท.... (ราคาปิด 190 )
ข่าวเด่น