ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน ผันผวน คาดมีโอกาสเคลื่อนไหวบวก/ลบ(22/05/61)


 ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้

          (+/-) ตลาดต่างประเทศ DJIA +298.20, NASDAQ +39.70, S&P +20.04, FTSE +80.38 และ CAC +23.00 (DAX - ปิดทำการ) 
DJIA ปิดสูงกว่า 25,000 จุด อีกครั้ง หลังคลายความกังวลข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดย 2 ประเทศตกลงที่จะระงับการทำสงครามการค้าเป็นการชั่วคราว พร้อมกำหนดกรอบการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาดุลการค้าในอนาคต เพื่อลดยอดขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ มีต่อจีน โดยจีนจะนำเข้าพลังงานและสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อลดการเกินดุลการค้าสินค้าและบริการต่อสหรัฐฯ สูงถึง 3.35 แสนล้านUSD ในแต่ละปี
          ขณะที่อยู่ระหว่างรอการเปิดเผยรายงานการประชุมของเฟด เมื่อ 1 - 2/5/61 ในวันพุธนี้ (23/5/61) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
          ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. +US$0.96 อยู่ที่ US$72.24 ต่อบาร์เรล แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ภายใต้คาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันในเวเนซุเอลามีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบ หากรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันของเวเนเซุเอลา หลังสหรัฐฯ ประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งระบุว่านายนิโคลัส มาดูโร ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลา
          และอยู่ระหว่างติดตามการประชุมกลุ่มโอเปก (22/6/61) คาดมีการทบทวนนโยบายการผลิตน้ำมัน หลังขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน จนถึงสิ้นปี'61 เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน
          ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. -US$0.4 อยู่ที่ US$1,290.9 ต่อออนซ์ หลังเงินสหรัฐฯ แข็งค่า ลดความน่าสนใจสัญญาทองคำ โดย
มีราคาสูงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น พร้อมลดการถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง หลัง DJIA เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
          (-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -2,199 ล้านบาท ยอดสะสม -101,471 ล้านบาท (ปี'57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี'59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท และปี'60 ขายสุทธิสะสม 25,755 ล้านบาท)
          (+) สภาพัฒน์ฯ เปิดเผย GDP - 1Q/61 ขยายตัว 4.8% จาก 4.0%เมื่อ 4Q/60 และสูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส หรือ 5 ปี พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี'61 จากเดิม 3.6 - 4.6% เป็น 4.2 - 4.7% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 4.5%

ประเด็นที่ต้องติดตาม 22 - 25 พ.ค. 61
22/5/61 ไม่มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ
23/5/61 สหรัฐฯ เปิดเผย 
          (1) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้น - พ.ค.
          (2) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้น - พ.ค.
          (3) ยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย.
          (4) สต็อกน้ำมัน
          (5) เฟดเปิดเผยรายงานการประชุม เมื่อวันที่ 1 - 2/5/61
24/5/61 สหรัฐฯ เปิดเผย 
          (1) ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
          (2) ดัชนีราคาบ้านเดือนมี.ค.
          (3) ยอดขายบ้านมือสองเดือนเม.ย.
25/5/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
          (1) ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย.
          (2) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนพ.ค.

ทิศทางตลาด
          ผันผวน? คาดมีโอกาสเคลื่อนไหวบวก/ลบ ภายใต้ Sentiment บวกจากประเด็นเดิมต่างประเทศ ทั้งประเด็นข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังผลการเจรจาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (19/5/61) ให้คำมั่นว่าจะไม่ทำสงครามการค้าระหว่างกัน (ชั่วคราว) พร้อมตกลงที่จะบังคับใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดยอดขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ มีต่อจีน รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ยังทรงตัว แต่อย่างไรก็ตามยังอยู่ในระดับสูงสุดรอบ 7 ปี ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนเงินกู้ยืมเพิ่มขึ้นตาม และคาดกดดันการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงตลาดหุ้น  
          นอกจากนี้คาดการณ์ว่าเฟดอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากความคาดหมายก่อนหน้า 3 ครั้ง เป็น 4 ครั้ง โดยเฟดประชุมครั้งต่อไป 12 - 13/6/61 คาดอาจเป็นประเด็นที่สร้างความผันผวนจนถึงวันประชุม ขณะที่คาดในครั้งนี้มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25%
          ทางด้านราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับสูง คาดยังส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยคาดในระยะกลาง - ยาว ยังได้รับปัจจัยหนุนจากความเป็นไปได้ที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน จะมีการขยายระยะเวลาปรับลดการผลิตจากเดิมครบกำหนดปลายปีนี้ โดยกลุ่มโอเปกจะมีการประชุม 22/6/61 
          ส่วนทางด้านประเด็นในประเทศ Sentiment ยังเป็นลบ (1) Fund Flow ที่คาดมีน้ำหนักกดดันเพิ่มขึ้น ต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องอีกเกือบ 2,200 ล้านบาท และทำให้ YTD ยอดขายสุทธิสะสมสูงกว่า 101,000 ล้านบาท พร้อมจับตาเงินบาท หากมีแนวโน้มกลับมาอ่อนค่า คาดเป็นสัญญาณหนึ่งที่แสดงว่า Fund Flow ไหลออก
          และ (2) ประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะจากการยื่นร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งนัดชี้ขาด ในวันที่ 23/5/61 นี้ หากผลการลงมติฯ ออกมาว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ คาดการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือนก.พ.' 62 ตาม Road Map ซึ่งส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน โดยเฉพาะจากต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนจากความชัดเจนในการเลือกตั้ง แนะจับตาหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของต่างชาติ
          ขณะที่ในระยะกลาง - ยาว ยังได้รับ Sentiment บวกจากโครงการ EEC ซึ่งปัจจุบันประกาศใช้เป็นกฎหมาย (พรบ.เขตพัฒนาพิเศษเศรษฐกิจ พ.ศ.2561) คาดส่งผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ภายใต้โครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน รวมถึงล่าสุด รมว.คมนาคม คาดในเดือนพ.ค. - มิ.ย.นี้ เสนอครม. เพื่อขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่คาดว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ และงานเดินรถ จะรวมเป็นรูปแบบ PPP และเตรียมจะเสนอ ครม.ได้ประมาณ 3Q/61

และยังแนะจับตา
          (1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
          (2) กลุ่มพลังงาน ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น PTT, PTTEP, BANPU และ SPRC เป็นต้น
          (3) กลุ่มสื่อ ได้รับประโยชน์จากรายได้ค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นโดดเด่น เช่น MONO
          (4) กลุ่มท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เช่น CENTEL, ERW และ SPA เป็นต้น
          (5) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยว เช่น AOT และ PSL จากค่าระวางเรือ และ BTS จากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย
          (6) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการ EEC ที่มีความชัดเจนขึ้นตามลำดับ คาดได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน

          ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทรงตัว อยู่ที่ 3.07% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.'54) 
          ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.34 อยู่ที่ 13.08
          หุ้นแนะนำ : PTTEP

หุ้นแนะนำ
PTTEP : เข้าร่วมประมูลสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบงกช-เอราวัณ โดยประกาศ PQ ในวันที่ 28/5/61
          PTTEP เป็น 1 ใน 5 (PTTEP / โททาล / เชฟรอน / มิตซุย และมูบาดาลา) เข้าร่วมประมูลสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบงกช - เอราวัณ ซึ่งมีการประกาศ PQ ในวันที่ 28/5/61 ทราบผลประมูลในเดือนธ.ค.'61 และลงนามสัญญาก.พ.'62 ซึ่งคาด PTTEP มีความได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่น เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการเดิม มีความเชี่ยวชาญในการผลิตอยู่แล้ว ประกอบกับเงื่อนไขการประมูลยังให้น้ำหนักกับความมั่นคงต่อเนื่องในการผลิต 
          ขณะที่คาดผลการดำเนินงานของ PTTEP ในปี' 61 จะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง คาดปริมาณผลิตเฉลี่ยที่ 300 kboed ใกล้เคียงกับปี'60 พร้อมคาดราคาก๊าซจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบ ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบขึ้นมาอยู่ที่ 72 USD/bbl สูงสุดนับแต่ พ.ย.'57 พร้อมคาดกลุ่มโอเปกยังคงให้ความร่วมมือในการลดกำลังการผลิตต่อไปในปี'61
          แม้ราคาปัจจุบันสูงกว่าราคาเป้าหมายที่ 139.00 บาท แต่ภายใต้ปัจจัยหนุนการเข้าร่วมประมูลสัมปทานข้างต้น และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี แนะเก็งกำไรในระยะสั้น


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 พ.ค. 2561 เวลา : 10:03:48

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 2:56 am