กลยุทธ์วันนี้ >> Domestic and Laggard Play//Accumulate on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัวค่อนข้างผันผวนโดยในช่วงครึ่งเช้าปรับตัวลบราว 10 จุด ก่อนที่ช่วงบ่ายจะรีบาวด์ขึ้นได้ค่อนข้างดี นำโดยกลุ่มธนาคารและปิโตรเคมีและทำให้ดัชนีปิดบวกได้กว่า 11 จุด ณ สิ้นวัน แรงซื้อส่วนใหญ่วานมาจากฝั่งสถาบันในประเทศ 1.6 พันลบ. ขณะนักลงทุนต่างชาติยังขายบางๆในตลาดหุ้น แต่ Net Long ใน Index Futures กว่า 4.2 พันสัญญา ซึ่งเริ่มแสดงให้เห็นการไหลออกของกระแสเงินทุนที่ชะลอลง
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways Up โดยคาดยังได้โมเมนตัมเชิงบวกจากการปรับขึ้นของดัชนีวานนี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเริ่มขยับขึ้นอีกครั้งซึ่งช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตามเรายังมองกรอบการบวกของดัชนียัคงจำกัดบริเวณ 1,740-1,745 จุดเนื่องจากยังต้องติดตามประเด็นการเจรจาการค้าโลกในการประชุมผู้นำ G7 ในวันที่ 8-9 มิ.ย.นี้ เรายังมองหุ้น Domestic Play โดยเฉพาะตัวที่ปรับลงแรงในระยะหลังและยัง Laggard น่าจะสามารถ Outperform ตลาดได้
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้น Domestic และ Laggard//Accumulate on Dip
หุ้นเด่นเดือนมิ.ย. : BGRIM, GLOBAL, MTC, PCSGH, TVO
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$63ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าไต้หวัน US$86ล้าน ขณะที่ไหลออกฟิลิปปินส์ US$13ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$7ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคจับตาการประชุม G7 ที่น่าจะมีประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้า
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> RS <<
- แนะนำซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ราคาเป้าหมาย 32 บาท
- สินค้าเครื่องสำอางในกลุ่ม MPC ที่เคยมีปัญหาถูกแก้ไขหมดแล้ว ขณะที่ เม็ดเงินโฆษณา 2Q18 ฟื้นตัวตามฤดูกาล ทำให้อัตราการใช้เวลาโฆษณาเพิ่มเป็นระดับ 40-50% และเริ่มปรับขึ้นค่าโฆษณาได้ คาดรายได้และกำไร 2Q18 จะโต Q-Q และก้าวกระโดด Y-Y
- ราคาหุ้นต่ำกว่าช่วง 10 วันก่อนหน้ามากถึง 23% เป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี ขณะที่ แรงขายเริ่มเบาลง จึงมีโอกาสเกิด Cover Short ในระยะสั้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ค. 18 อยู่ที่ 80.1 ลดลงจาก 80.9 ใน เม.ย. 18 เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน แต่เป็นระดับที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แรงกดดันมาจากความกังวลในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้าและกระจุกตัว รวมถึงราคาน้ำมันที่แพงขึ้น และการเลือกตั้งที่ยังไม่ชัดเจน แต่ด้วยความที่ปัจจัยลบทั้งหมดเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว จึงคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวใน มิ.ย.-ก.ค. 18 ซึ่งน่าจะเป็นบวกกับกำลังซื้อในลำดับถัดไปเช่นกัน
(0) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ราคาหุ้นที่ขึ้นมาแรง คาดว่าเกิดจากการเก็งกำไรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย FED ในสัปดาห์หน้าซึ่งเป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มธนาคาร ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทย ยังไม่น่าเกิดขึ้นเร็ว เพราะว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจยังไม่เห็นความต้องการสินเชื่อมากนัก แต่ถ้ามีการปรับขึ้น กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่จะได้รับอานิสงส์มากกว่าขนาดกลาง-เล็ก ทุกๆการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2% จะส่งผลต่อ NIM ของกลุ่มราว 0.19% เราไม่แนะนำให้เก็งกำไรในประเด็นนี้ เพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยยังมีความเป็นไปได้น้อย ขณะที่ผลประกอบการ 2Q18 ยังมีแรงกดดันจากรายได้ค่าธรรมเนียมการโอนที่ลดลง และสินเชื่อที่เติบโตได้ช้า ถ้าต้องการซื้อลงทุน TOP Pick ยังเป็น TISCO (TP 98 บาท)
(-) MINT มีข่าวว่าบรรลุข้อตกลงซื้อหุ้น NH Hotel จาก NHA Group สัดส่วน 26.5% และมีแผนเข้าทำ Tender Offer ตามกฎหมายของตลาดหุ้นสเปน โดยเรายังรอการยืนยันและแจ้งตลาดฯจาก MINT แม้เราจะมองว่าดีลดังกล่าวไม่แพง (EV/EBITDA ราว 10 เท่า) แต่ระยะสั้นจะกดดันราคาหุ้นเนื่องจากมีโอกาสสูงที MINT ต้องเพิ่มทุน ราคาเหมาะสมปัจจุบันของเราอยู่ที่ 44 บาท (ก่อนเข้าซื้อ NH Hotel) และมีโอกาสทบทวนจากดีลดังกล่าว จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาวและพร้อมเพิ่มทุนเท่าทั้น ส่วนระยะสั้นเรามอง ERW น่าสนใจกว่า ราคาเหมาะสม 9 บาท
(-) BEM วานนี้ ครม.ยังไม่อนุมัติขึ้นค่ารถไฟฟ้าสีน้ำเงิน 1 บาทในสถานี 5, 8, 11 ที่มีผล 3 ก.ค. เพราะประกาศล่วงหน้าไม่ถึง 30 วัน เราไม่กังวลกับประเด็นดังกล่าว และมองว่ายังเป็นไปในแนวทางเดิมตามสัญญาของการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารใหม่ทุก 2 ปีตามอัตราเงินเฟ้อ หลังจากนี้ก.คมนาคมจะเจรจากับบริษัท และนำเข้าครม.อีกครั้ง ซึ่งคาดทำให้เลื่อนการปรับขึ้นไปอย่างน้อย 3 เดือน โดยการเลื่อนออกไปนี้ไม่กระทบกับประมาณการของเรา จึงเป็นเพียง Sentiment ลบระยะสั้นเท่านั้น คงคาดกำไรสุทธิปีนี้ที่ 3.7 พันลบ. (+19% Y-Y) และคงคำแนะนำซื้อลงทุน ราคาเหมาะสม 10 บาท
(0) TK เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2018 ลง 15% เป็น 473 ลบ. (+1.3%Y-Y) เพื่อสะท้อนผลประกอบการ 1Q18 ที่ต่ำกว่าคาด และปรับลดประมาณการสินเชื่อและเพิ่ม Credit cost จากสัญญาณการจ่ายชำระในกลุ่มลูกค้าฐานรากที่อ่อนแอลง ประเด็นการซื้อกิจการ TK มีแผนที่จะซื้อในต่างประเทศเพื่อขยายธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความถนัด พร้อมปฏิเสธข่าวการซื้อธุรกิจเงินติดล้อ (เรามองการ ไม่ซื้อเป็นบวกมากกว่าซื้อ) แม้กระนั้น เราคาดว่าผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีตามสินเชื่อที่ฟื้นตามฤดูกาล จึงคงคำแนะนำซื้อ โดยปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 14.20 บาท (เดิม 16.70 บาท)
(0) TPCH คงมองแนวโน้มกำไรปกติ 2Q18 โตทั้ง Q-Q, Y-Y จากการเดินเครื่องโรง SGP เต็มไตรมาส แม้มีบางโรงมี shutdown และคงคาดกำไรปี 2018-2020 โตเฉลี่ย 24.8% CAGR โดยโรง PTG ขนาด 23 MW คาด COD 4Q19 (ช้ากว่าคาดของบริษัทใน ปลาย 2Q-3Q19) ส่วนการเปิดรับซื้อไฟโรงไฟฟ้าขยะชุมชน กกพ.เลื่อนการเปิดรับอีกครั้งเป็น ต.ค. TPCH คงต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายไตรมาสละ 5-7 ลบ. (รวมในประมาณการแล้ว) คงราคาเป้าหมาย 13 บาท ราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา ทำให้ PE2018 ต่ำเพียง 11.5 เท่า และจะเหลือ 8 เท่า ในปี 2020 แนะนำซื้อ
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
7 มิ.ย.
|
- ยูโรโซน: 1Q18 GDP (ครั้งที่ 3)
|
8 มิ.ย.
|
- จีน: ดุลการค้า (พ.ค.)
- ออสเตรเลีย: 1Q18 GDP
|
12 มิ.ย.
|
- ประชุมผู้นำสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ
|
13 มิ.ย.
|
- สหรัฐฯ: ประชุม FOMC
|
14 มิ.ย.
|
- ยูโรโซน: ประชุม ECB
|
15 มิ.ย.
|
- ญี่ปุ่น: ประชุม BOJ
|
20 มิ.ย.
|
- ไทย: ประชุม กนง.
|
- (0) ตลาดสหรัฐปรับตัวผสมผสาน โดยหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นยังคงเป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ส่งผลให้ตลาดแนสแด็คปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อย
- (-) ภาพรวมตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง โดยแรงกดดันมาจากค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นรวมไปถึงปัญหาหนี้สินของอิตาลี
- (+) ตลาดเอเชียเช้านี้ได้รับแรงหนุนจากตลาดที่เริ่มหันกลับมาสนใจตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง โดยมีการคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ FED อาจส่งผลให้ตลาดผันผวนในระยะสั้นแต่ภาพรวมเศรษฐกิจในตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ยังคงแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อ 5 ปีก่อน ยกเว้นบางประเทศ เช่น อาเจนติน่าและตุรกี
- () ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆของโลก ล่าสุดยังคงเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 31.90-32.00 บาท/ดอลลาร์
- (+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 0.77 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 65.52 ดอลลาร์/บาเรลล์
- ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 4.90 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,302.20 ดอลลาร์/ออนซ์
ข่าวเด่น