|
|
|
|
|
|
ติดตามการประชุมสำคัญ ๆ ในสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา แกว่งตัวในกรอบ 1,710-1,746 จุด โดยหุ้นกลุ่มพลังงานเช่น PTT, PTTGC, CPALL ถูกกดอย่างหนัก และพยายามผลักดันหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขึ้นมาประคองตลาดแทน หลังจากมี Fund Flow ไหลเข้าตลาดพันธบัตรไทย และเข้ามาในตลาดหุ้นบ้างช่วงต้นสัปดาห์ ประกอบกับมีข่าวดีเรื่องคาดการณ์มีการเลือกตั้งภายใน ก.พ.62 ได้ดังเดิม แต่ SET ก็ยืนไม่อยู่ ช่วงท้ายสัปดาห์กลับมามีแรงขายหนักต่อ โดยต่างชาติก็ยังคงขายสุทธิในระดับสูงถึงกว่า 3 พันล้านบาทในช่วงวันศุกร์ นับแต่ต้นเดือน มิ.ย.ต่างชาติเหลือยอดซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเพียง 243 ล้านบาท ในขณะที่สัปดาห์นี้มีการประชุมสำคัญของโลกเกิดขึ้นหลายนัด อาจจะมีผลต่อ Fund Flow ไหลออกจาก Asia Emerging Markets เนื่องจากสหรัฐฯ เตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เรามองว่าตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้น่าจะมีทิศทางเคลื่อนไหวในกรอบ 1,700-1,750 จุด คาดว่าการซื้อขายเบาบางลง และอาจจะมุ่งไปที่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้น หุ้น Top Pick วันนี้และในสัปดาห์นี้เราเลือก AGE, WHAUP และ BANPU ส่วนกรอบดัชนีวันนี้ คาดการณ์ 1,710-1,737 จุด
Stock Comment
AGE Pick of the day
WHAUP (ปิด 6.55 บาท; ซื้อ; IAA consensus 7.58 บาท) จุดเด่นเป็นผู้ให้บริการน้ำเพียงรายเดียวภายในนิคมอุตสาหกรรมที่ดำเนินการโดย WHA ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท จึงมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจต่ำ จากสภาวะการแข่งขันในตลาดที่จำกัดและการมีรายได้ที่มีความสม่ำเสมอจากสัญญาระยะยาวกับลูกค้า คาดรายได้และกำไรสุทธิของ WHAUP ในปี 2561 และ 2562 จะเติบโตโดดเด่น จากการเริ่มดำเนินงานของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPPs) ในพื้นที่ที่บริษัทให้บริการทำให้ความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าบริการ นอกจากนี้ ความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลมาจากการขายที่ดินที่เพิ่มขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA ในปี 2561 ทำให้ลูกค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นด้วย
BANPU (ปิด 21.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 27.00 บาท) ราคาถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเกินระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และราคาถ่านหินยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น จะส่งผลดีต่อมาร์จิ้นของ BANPU เรายังคาดการณ์ EPS จากการดำเนินงานของ BANPU ในปี 2561 ไว้ที่ 2.70 บาท ราคาเป้าหมายอิงค่า PER 10 เท่า แนะนำซื้อ
หุ้นเด่นวันนี้ : AGE (1.55 บาท; ซื้อ; AWS TP 2.08 บาท)
AGE เราคาดการณ์ปริมาณขายถ่านหินในปี 2561 ที่ 2.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 10%YoY ขณะที่ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยในปี 2561 สูงกว่าในปี 2560 กว่า 40% โดยคาดว่าปริมาณขายในไตรมาส 2/61 เท่ากับ 270,000 ตันต่อเดือน เพิ่มขึ้นประมาณ 30% จาก 200,000 ตันต่อเดือนในไตรมาส 1/61 เนื่องจากยอดขายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และเริ่มมีความสม่ำเสมอของยอดขายที่เวียดนามประมาณ 30,000-45,000 ตันต่อเดือน AGE จะเน้นยอดขายต่างประเทศคือที่เวียดนามเป็นหลัก หลังจากเปิดดำเนินการบริษัท VINA AGE ที่ประเทศเวียดนามช่วงปลายปี 2560 ทำธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานคัดแยก กำลังการผลิตสูงสุด 1,500 ตันต่อวัน หรือ 45,000 ตันต่อเดือน และมีปริมาณการกองเก็บ(Stock) สูงสุด 100,000 ตัน อนาคต AGE มีเป้าหมายดำเนินธุรกิจเทรดดิ้งถ่านหินในเวียดนามให้เติบโตได้เหมือนธุรกิจที่ประเทศไทย นอกจากนี้ AGE มีแผนจะให้บริการขนส่งเทกองทางน้ำ โดยเพิ่มกองเรือเป็น 24 ลำ จากปัจจุบันให้บริการอยู่ 8 ลำ สัดส่วนรายได้ธุรกิจขนส่งทางเรือในปัจจุบัน อยู่ที่ 4.5% ของยอดขายรวม เราให้ราคาเป้าหมาย AGE เท่ากับ 2.08 บาท อิงค่า PER 13 เท่า
Price Pattern ของ AGE อยู่ในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Weekly & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ก็จะกลับเข้าสู่แนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัว โดยหากสามารถปิดตลาดเหนือ 1.63 บาทเป็นอย่างน้อย จึงจะกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ มีเป้าหมายแรกอยู่ที่ 1.87 บาท และมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 2.38 บาท ตามลำดับ (Resistance: 1.56, 1.57, 1.58; Support: 1.54, 1.53, 1.52)
ปัจจัยในประเทศ :
- SCB (ราคาปิด 136 บาท; ถือ; AWS TP: 148 บาท) แหล่งข่าวจาก SCB เผยธนาคารจะมีการจัดประชุมกรรมการนัดพิเศษในวันที่ 13 มิ.ย. นี้ เพื่อหารือปัญหาหนี้เสีย ขณะที่นายบุญทักษ์ หวังเจริญจะเข้าร่วมประชุมเช่นกันในฐานะกรรมการคนใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างลง (ข่าวหุ้น) ความเห็น: เรามองว่าการประชุมเพื่อหารือปัญหาหนี้เสียเป็นไปตามกระบวนการของธนาคารปกติ ขณะที่มีข่าวลือว่านายบุญทักษ์จะเข้ามาสอบสวนหนี้ 3 ก้อน ได้แก่ PACE SSI และวินด์ เอนเนอร์ยี่นั้น เราไม่ค่อยมีความกังวลกับประเด็นดังกล่าว เนื่องจากสำหรับหนี้ของ PACE ปัจจุบันธนาคารคลายความกังวลไปได้มากหลังจากที่ PACE ได้ขายสินทรัพย์บางส่วนในโครงการมหานครให้แก่กลุ่มคิง พาวเวอร์ และ SCB ได้ตั้งสำรองบางส่วนไว้แล้ว ส่วนหนี้ของ SSI ธนาคารได้ตั้งสำรองเต็มจำนวนไปแล้วตั้งแต่ปี 2558 และปัจจุบัน SSI ก็อยู่ในขั้นตอนฟื้นฟูกิจการตามแผน ส่วนหนี้ของบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่คาดว่ายังดำเนินการตามแผนอยู่
- สำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศรายละเอียดการกำกับดูแลกิจการที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปลายเดือนนี้ โดยทาง ก.ล.ต. จะอนุญาตให้ใช้สกุลเงินเจ็ดประเภทที่ใช้สำหรับการเสนอขาย ICOs ซึ่งได้แก่ Bitcoin, Ethereum, Bitcoin Cash, Ethereum Classic, Litecoin, Ripple และ Stellar ทั้งนี้ผู้ขายที่ไม่ได้รับอนุญาต จะถูกปรับไม่เกินสองเท่าของมูลค่าของธุรกรรมดิจิทัลหรืออย่างน้อย 500,000 บาท นอกจากนี้ยังอาจต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี (Bangkok Post)
ตลาดต่างประเทศ :
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 75.12 จุด หรือ +0.30% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 8.66 จุด หรือ +0.31% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 10.44 จุด, +0.14% สำหรับทั้งสัปดาห์ ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 2.8%, S&P เพิ่มขึ้น 1.6% และ Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.2% โดยนักลงทุนเมินความขัดแย้งเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับชาติพันธมิตร ในการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม 7 ชาติ หรือ G7 ซึ่งจัดขึ้นที่แคนาดาวันที่ 8-9 มิ.ย. ขณะที่นักลงทุนติดตามผลการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือที่สิงคโปร์ วันที่ 12 มิ.ย.นี้ รวมถึงคาดว่าที่ประชุมเฟดในวันที่ 12-13 มิ.ย. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง โดยจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ขณะที่คาดว่าที่ประชุม ECB ในวันที่ 14 มิ.ย. จะส่งสัญญาณปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จากระดับ 3 หมื่นล้านยูโร/เดือน ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดในเดือน ก.ย.
สินค้าโภคภัณฑ์ :
- ราคาน้ำมันดิบ : น้ำมัน WTI ลดลง 21 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 65.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ราคาลดลง 0.3% ซึ่งเป็นการลดลงสามสัปดาห์ติดต่อกัน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 86 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 76.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ทั้งสัปดาห์ ราคาน้ำมันเบรนท์ปรับตัวลดลงไป 0.5% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวอุปทานที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น จากการพุ่งขึ้นของการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ สวนทางกับอุปสงค์ในจีนที่ลดลง ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์ เผยแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐมีจำนวนเพิ่มขึ้น 1 แท่น สู่ระดับ 862 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ขณะเดียวกัน นักลงทุนรอดูการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) วันที่ 22 มิ.ย. ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าทางกลุ่มจะยังไม่ปรับเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมครั้งนี้
- ราคาทองคำ: ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 1,302.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ราคาทองปรับตัวขึ้นราว 0.3% โดยได้ปัจจัยหนุนจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์
- DXYO, US 10-year bond yield และ VIX: ล่าสุด DXYO ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 93.535 จุด และ US 10-year bond yield ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.94% และ VIX ทรงตัวในระดับต่ำที่ 12.13 จุดต่ำสุดใกล้เคียงกับเดือน ม.ค.61 โดยปกติแล้ว ราคาทองและดอลลาร์จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกัน คือเมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาทองก็จะลดลง เนื่องจากดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้ทองคำซึ่งกำหนดราคาในรูปของสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาแพงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐกับชาติพันธมิตร อย่างแคนาดาและสหภาพยุโรป ก่อนที่การประชุมสุดยอด G7 จะมีขึ้นในวันศุกร์และวันเสาร์นี้ ได้ช่วยสกัดการปรับตัวลงของราคาทองคำ
|
บันทึกโดย : Adminวันที่ :
11 มิ.ย. 2561 เวลา : 10:22:01
|
|
|
|
|
ข่าวเด่น