คำแนะนำ
นักลงทุนที่มีทองคำในมือ อาจแบ่งขายบางส่วนหากราคาไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน และรอการอ่อนตัวลงของราคา หากสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,295-1,292 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำให้เข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะสั้น
แนวรับ-แนวต้าน
แนวรับ 1,292 1,280 1,271
แนวต้าน 1,309 1,315 1,325
ปัจจัยพื้นฐาน
ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับปัจจัยหนุน อาทิ (1.)ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้อนุมัติมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน และสหรัฐเตรียมจะเปิดเผยรายชื่อสินค้าจีนวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25%ในวันนี้ (2.)ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB)ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด พร้อมประกาศจะยุติมาตรการ QE ภายในสิ้นเดือนธ.ค. ปัจจัยเหล่านี้หนุนทองคำให้พุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนบริเวณ 1,309 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่สกุลเงินยูโรจะกลับมาอ่อนค่าจากการที่ ECB ระบุว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูร้อนของปีหน้า ประกอบกับตัวเลขยอดค้าปลีกและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐออกมาดีกว่าคาดจึงเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนดอลลาร์ให้แข็งค่าและสกัดช่วงบวกของราคาทองคำ สำหรับวันนี้ติดตามผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น, ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และการเปิดเผยตัวเลข Empire State Indexและตัวเลขภาคการผลิตของสหรัฐ
ปัจจัยทางเทคนิค
แรงขายยังคงกดดันไม่มากหลังการอ่อนตัวลงของราคายังสามารถยืนเหนือแนวรับระดับ 1,295-1,292 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ทำให้อาจเกิดแรงซื้อหนุนให้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1,309-1,315 ดอลลาร์ต่อออนซ์เช่นเดิม เบื้องต้นประเมินกรอบการเคลื่อนไหววันนี้ในโซน 1,292-1,315 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน GOLD SPOT & GOLD FUTURES
ราคาทองคำมีจุดเสี่ยงเปิดสถานะขายระยะสั้นในบริเวณ 1,309-1,315 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากยืน 1,315 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้) แต่หากราคาอ่อนตัวลงไปก่อนให้พิจารณาบริเวณ 1,295-1,292 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดเปิดสถานะซื้อ แต่หากหลุดโซนดังกล่าวแนะนำให้ชะลอการเข้าซื้อเพื่อรอดูการตั้งฐานของราคา
ข่าวเด่น