ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน คาดมีโอกาสปรับลดลงตามตลาดต่างประเทศ (18/06/61)


 ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้

  (-) ตลาดต่างประเทศ DJIA -84.83, NASDAQ -14.66, S&P -2.83, FTSE -131.88, CAC -26.58 และ DAX -96.55
ภายใต้ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังสหรัฐฯ ประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีน มูลค่า 5 หมื่นล้านUSD ซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษี 25% เพื่อตอบโต้การที่จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ โดยสำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR) เปิดเผยว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อสินค้าจำนวน 1,100 รายการของจีน ซึ่งสินค้าล็อตแรก จำนวน 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านUSD จะถูกเรียกเก็บภาษีในวันที่ 6/7/61 ขณะที่สินค้าล็อตที่ 2 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
  พร้อมกับการตอบโต้จากรัฐบาลจีนทันที โดยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จำนวน 659 รายการ อัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านUSD ซึ่งบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ล็อตแรก จำนวน 545 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านUSD รวมถึงสินค้าด้านการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าทางทะเล มีผลตั้งแต่วันที่ 6/7/61 และการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวนที่เหลือนั้น จะมีการประกาศตามมาทางด้านหุ้นกลุ่มพลังงาน ลดลงตามทิศทางราคาน้ำมัน หลังคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปกอาจจะปรับเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันในการประชุมวันที่ 22/6/61
  ทางด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ (-) การผลิตภาคอุตสาหกรรม – พ.ค. ลดลง 0.1% ได้รับผลกระทบจากการเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่โรงงานผลิตชิ้นส่วนของรถบรรทุกในรัฐมิชิแกน และ (+) ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค – มิ.ย. อยู่ที่ 99.3 เพิ่มขึ้นจาก 98.0 เมื่อพ.ค. และดีกว่าที่คาดว่าจะอยู่ที่ 98.3
  ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ก.ค. -US$1.83 อยู่ที่ US$65.06 ต่อบาร์เรล ภายใต้คาดการณ์ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก อาจตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิต ในการประชุมวันที่ 22/6/61 หลังปีที่ผ่านมา มีมติขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.8 ล้านบาร์เรล/วันถึงสิ้นปีนี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน
  ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. -US$29.8 อยู่ที่ US$1,278.5 ต่อออนซ์ จากเงินสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ขณะที่อยู่ระหว่างติดตามข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยบัญชีรายการสินค้าจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% และได้รับการตอบโต้ทันทีจากรัฐบาลจีน
  (-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -7,468 ล้านบาท ยอดสะสม -162,813 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท และปี’60 ขายสุทธิสะสม 25,755 ล้านบาท)

ประเด็นที่ต้องติดตาม 18 - 21 มิ.ย. 61
18/6/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
  (1) ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนมิ.ย.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ 
19/6/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
  (1) ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ค.
20/6/61 ไทย : ประชุม กนง. (คาดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50%)
   สหรัฐฯ เปิดเผย 
  (1) ดุลบัญชีเดินสะพัด – 1Q/61
  (2)  ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค.
  (3) สต็อกน้ำมัน
  

21/6/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
  (1) ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
  (2) ดัชนีการผลิตเดือนมิ.ย.
  (3) ดัชนีราคาบ้านเดือนเม.ย.

ทิศทางตลาด
  ตามตลาดต่างประเทศ? คาดมีโอกาสปรับลดลงตามตลาดต่างประเทศ ภายใต้ความกังวลประเด็นการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศจีน ที่คาดมีน้ำหนักกดดันเพิ่มขึ้น หลังสหรัฐฯ ทยอยประกาศรายชื่อสินค้าจากประเทศจีน ที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า อัตรา 25% และได้รับการตอบโต้ทันทีจากประเทศจีนในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อัตรา 25% เช่นกัน พร้อมคาดยังได้รับ Sentiment ลบจาก Fund Flow ที่ไหลออกต่อเนื่องจาก Emerging Market รวมถึงไทย หลังเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. ทำให้คาดทั้งปีนี้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง คาด
  สิ้นปี’61 อยู่ที่ 2.25 – 2.50% และยังแนะจับตา Bond Yield สหรัฐฯ มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางเดียวกับดอกเบี้ย คาดกลับเป็นประเด็นกดดันต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง นอกจากนี้คาดทำให้เงินสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่า ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ซื้อขายในรูปเงินสหรัฐฯ ปรับลดลง แต่ในทางกลับกันกลุ่มส่งออกคาดได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง 
ทางด้านราคาน้ำมันกลับมีความผันผวน แนะติดตามการประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (22/6/61) ภายใต้ความไม่แน่นอนว่าจะมีการปรับเพิ่มปริมาณผลิตน้ำมัน เพื่อชดเชยการส่งออกจากอิหร่านและเวเนซูเอล่า หลังถูกมาตรการคว่ำบาตร
  ส่วนประเด็นในประเทศ คาดยังได้รับ Sentiment ลบ จาก Fund Flow ภายใต้แรงขายสุทธิของต่างชาติ ส่งผลให้ YTD ยอดขายสุทธิสะสม เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มูลค่าสูงกว่า 162,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากมีการกำหนด
  วันเลือกตั้งชัดเจน (คาดภายในก.พ.’62) คาดช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นการลงทุนกลับมา โดยเฉพาะจากต่างชาติกลับเข้ามาอีกครั้ง
ขณะที่ในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับ Sentiment บวกจากโครงการ EEC คาดส่งผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ภายใต้โครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน ล่าสุดเปิดขายซองประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา) ในวันที่ 18/6/61 มูลค่าเงินลงทุน ประมาณ 2.2 แสนล้านบาท โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบ net cost  อายุโครงการ 50 ปี และกำหนดยื่นซองประมูล 12/11/61 พร้อมคาดลงนามสัญญาต้นปี’62

 และยังแนะจับตา
  (1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL และ PTTGC เป็นต้น
  (2) กลุ่มพลังงาน ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง เช่น PTT, PTTEP, BANPU และ SPRC เป็นต้น
  (3) กลุ่มท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เช่น CENTEL, ERW เป็นต้น
  (4) กลุ่มขนส่ง ยังได้รับผลดีจากการท่องเที่ยว เช่น AOT และ PSL จากค่าระวางเรือ และ BTS จากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย
  (5) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการ EEC คาดได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน
  ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.02 อยู่ที่ 2.92% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
  ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.14 อยู่ที่ 11.98
  หุ้นแนะนำ : UNIQ


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 มิ.ย. 2561 เวลา : 09:29:17

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 4:09 am