“ดอลลาร์แข็งมากกดดัน หวังเก็งกำไรวินโดว์ เดรสซิ่ง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index รีบาวด์ 24.72 จุด ปิดที่ 1664.26 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายที่ 60.0 พันล้านบาท หลังดัชนีฯร่วงแรง 87 จุดหรือ 5.1% ตั้งแต่ต้น มิ.ย.ถึงวันอังคาร 19 มิ.ย.61 ซึ่งเกิดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เข้มข้นขึ้นคือ สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีกที่อัตรา 10% ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ หากจีนยังจะตอบโต้เก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ ทางจีนยังไม่ได้มีมาตรการตอบโต้ที่ชัดเจน ยกเว้นอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ และราคาน้ำมันที่ผันผวนสูง หลังกลับมามีคาดการณ์ว่าโอเป็กจะปรับเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันในการะประชุม 22 มิ.ย.61 กระทบหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี มีแรงซื้อกระจายไปในกลุ่มหลักด้านผู้ซื้อสุทธิคือ รายย่อย 2.6 พันลบ. และสถาบัน 2.2 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 3.6 พันลบ. และบัญชีหลักทรัพย์ 1.2 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– SET ได้รับแรงกดดันจากนาย เพาเวลล์ ประธานเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสหรัฐกลับมาสูงขึ้นไปอีก ปิดเมื่อคืน 2.9334% ด้านจีนพร้อมจะตอบโต้สหรัฐรุนแรง หากจะจัดเก็บภาษี 10% เพิ่ม ล่าสุดอัดฉีดเงินเข้าระบบ ส่วนราคาน้ำมันที่ยังผันผวนหนักในทางลง หลังกลับมามีคาดการณ์ว่าโอเป็กจะปรับเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันในการะประชุม 22 มิ.ย.61 นี้ แต่เมื่อคืนกลับปรับขึ้น เพราะสต็อคที่สหรัฐต่ำ จึงมีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ส่วนผลการประชุมเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบนำปัจจัยในประเทศ ในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ดอลลาร์แข็งค่า เงินไหลออกจาก SET และสงครามการค้า ส่วนปัจจัยบวกยังเป็น อาจมีการทำ Window Dressing เพราะเข้าใกล้สัปดาห์สุดท้ายรอบครึ่งแรกปี 2561 การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป กลุ่มธนาคารเรื่องดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น เศรษฐกิจไทยยังดี กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และปรับเพิ่ม GDP ทั้งปีนี้และปี 62 แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบ สำหรับการประชุมต่างๆ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่ต้องติดตามคือ ประชุมโอเปก 22 มิ.ย. 61 ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งแคบสลับบวก-ลบ รอดูสถานการณ์ ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า +34 จุด กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน การประกาศ SET 50 SET 100 แล้วก็จะมีผลบวกกับหุ้นนำเข้า แต่เป็นลบหุ้นออก เริ่ม 1 ก.ค.61 นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมายล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1630-1700 จุด
Update หุ้นเด่น PTTGC : แนวโน้มกำไร 2Q61 ยังไปได้ดี – คาดว่าอุปสงค์สายโอเลฟินส์ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ HDPE แต่เชื่อว่าธุรกิจโรงกลั่นและอะโรเมติกส์จะอ่อนลงในช่วง Low season ก่อนหน้าได้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 61 ขึ้น 35% ด้วยสมติฐานราคาผลิตภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นไปตาม Guidance ของบริษัท รวมทั้งสะท้อนผลประโยชน์ที่ได้จากโครงการ MAX และการได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทที่รับโอนมาจาก PTT ตั้งแต่ก.ค.60 แนะนำซื้อ กำหนดราคาพื้นฐานเป็น 113 บาท เราเห็นว่าการที่บริษัทเป็นผู้ผลิต Gas-based ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันดีกว่าผู้ผลิตที่เป็น Naphtha-based
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1670-1680, 1700 โดยมีแนวรับ 1630-1620
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น TISCO, PRINC, TOP, AOT, BH, VCOM, BEAUTY ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ SYNEX, TGCI, PTT, CPALL หุ้นที่หลุด LIST -ไม่มี- และที่ให้หาจังหวะTake profit เป็น SCC, RCI, PTTEP, PTTGC
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-ดอลลาร์แข็งค่ามาก หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยจริงจัง
# ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนและฟรังก์สวิส ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (20 มิ.ย.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโรและเงินปอนด์ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
# ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า จะมีผลลบด้านเงินไหลออกจากประเทศอื่นๆ กลับเข้าสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น
-จีนพร้อมตอบโต้รุนแรง หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10%
# กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า รัฐบาลจีนพร้อมตอบโต้อย่างรุนแรง หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ตามที่ปธน.ทรัมป์ขู่ไว้
-ติดตามการประชุมโอเป็ก วันพรุ่งนี้
# นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปกซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในวันพรุ่งนี้ (22 มิ.ย.) หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มโอเปกและประเทศนอกกลุ่ม นำโดยรัสเซีย มีมติขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.8 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน
# ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียอาจเสนอให้มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมครั้งนี้หลังจากนายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รมว.พลังงานของรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียและซาอุดิอาระเบียให้การสนับสนุนในหลักการว่า ควรปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ได้มีการจำกัดกำลังการผลิตเป็นเวลา 18 เดือน
+ แบงก์ชาติจีนเดินหน้าอัดฉีดเงินเข้าระบบวานนี้ มุ่งลดแรงกดดันด้านสภาพคล่อง
# ธนาคารกลางจีนยังคงอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ผ่านทางการดำเนินการทางตลาดเงิน (Open Market Operations - OMO) วานนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะลดแรงกดดันด้านสภาพคล่อง
# ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดเม็ดเงิน 1 แสนล้านหยวน (ประมาณ 1.54 หมื่นล้านดอลลาร์) เข้าสู่ตลาด ผ่านทางข้อตกลง reverse repo ขณะเดียวกันมีข้อตกลง reverse repo ที่ครบกำหนดไถ่ถอนมูลค่า 6 หมื่นล้านหยวน ซึ่งเท่ากับว่าธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดเงินสุทธิ 4 หมื่นล้านหยวนเข้าสู่ตลาดการเงินในวานนี้ และหันมาเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในยามมีสงครามการค้ากับสหรัฐ
- ทรัมป์ ขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ในอัตรา 10% วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
# ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า ตนได้ขอให้ผู้แทนการค้าสหรัฐตรวจสอบรายการสินค้าจีนที่ควรถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม โดยปธน.สหรัฐได้ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ในอัตรา 10% วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐได้มีการประกาศรายชื่อสินค้าจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% วงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ ระบุว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ หากรัฐบาลจีนยังคงยืนกรานที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐตามที่เคยประกาศไว้ไม่นานมานี้
+/- ราคาน้ำมัน WTI ปรับขึ้น หลังสต็อคสหรัฐต่ำกว่าคาด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. พุ่งขึ้น 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 66.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 34 เซนต์ หรือเกือบ 0.5% ปิดที่ 74.74 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (20 มิ.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐปรับตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มในวันพรุ่งนี้
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลงต่อ กังวลสงครามการค้า สหรัฐ-จีน แต่ Nasdaq ทำ New High
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,657.80 จุด ลดลง 42.41 จุด หรือ -0.17% ขณะที่ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 2,767.32 จุด เพิ่มขึ้น 4.73 จุด หรือ +0.17% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,781.51 จุด เพิ่มขึ้น 55.93 จุด หรือ +0.72%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (20 มิ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 7 เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทเทคโนโลยี
• ทองคำลดลง เก็งกำไรดอลลาร์ที่แข็งค่าแทน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 4.1 ดอลลาร์ หรือ 0.32% ปิดที่ 1274.50 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (20 มิ.ย.) หลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ซึงส่งผลให้สัญญาทองคำมีความน่าดึงดูดน้อยลง นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ด้วย
+ ยอดขายบ้านมือสองสหรัฐ พ.ค.ร่วงลง
# สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 0.4% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.43 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองเพิ่มขึ้น 5.1% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่มีจำนวนลดลงก่อนหน้านี้
• ตัวเลขเศรษฐกิจจะประกาศสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนมิ.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีราคาบ้านเดือนเม.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/- กนง.มีมติคงดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% พร้อมปรับเพิ่มประมาณการ GDP ปี 61-62
# ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันนี้มีมติ 5 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปีโดยมีกรรมการ 1 เสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.75% ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่มีกรรมการ 1 รายลาประชุม
# ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 61 เป็น 4.4% จากเดิม 4.1% และในปี 62 ปรับเพิ่มเป็นเติบโต 4.2% จากเดิม 4.1% เนื่องจากมองว่าการส่งออกในปีนี้จะเติบโตถึง 9% ดีกว่าที่เดิมที่เคยคาดไว้ที่ 7.0% ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ส่วนปีหน้าคาดว่าการส่งออกจะเติบโตชะลอลงมาที่ 5% แต่สูงกว่าเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 3.6%
# ด้านทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยนั้น กนง.ยังคงให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก แม้ว่าตลาดเงินในหลายประเทศจะเริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกันไปบ้างแล้ว แต่ กนง.ก็ยังไม่เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของไทย รวมทั้งต่ออัตราเงินเฟ้อ ดังนั้น การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนปรนจึงยังมีความจำเป็นอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน
#อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงจากภายนอกที่ต้องติดตามต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาสงครามการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งหากไม่รุนแรงก็จะส่งผลให้การส่งออกไทยในปี 62 ปรับตัวดีขึ้น
+/- GPSC ประกาศซื้อ GLOW อย่างเป็นทางการ ใช้เงินทุนจำนวนมาก
# วานนี้ราคาหุ้น บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC พบว่าปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาหุ้นบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) GLOW ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลัง GPSC เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเข้าชื้อหุ้น GLOW พร้อมลงนามสัญญาเข้าซื้อหุ้น69.11% ในราคาหุ้นละ 96.5 บาท/หุ้น มูลค่า97,560 ล้านบาท รวมทั้งทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด คาดปิดดีลภายในปี2561
# โดย GPSC คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการได้มาซึ่งฐานการผลิตที่มีศักยภาพและการขยายฐานลูกค้าในประเทศสนับสนุนการเปิดโอกาสทางธุรกิจและขยายฐานกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม พร้อมนำ Synergy Platformเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค
# ด้านการจัดหาเงินทุน คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ใช้เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินและ/หรือผู้ถือหุ้นใหญ่และภายหลังจากนั้น GPSC มีแผนทางการเงินสำหรับชำระเงินกู้ยืมระยะสั้นเพื่อปรับโครงสร้างเงินทุน โดยคาดว่าจะออกหุ้นกู้ และ/หรือเงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงิน ในสัดส่วนประมาณกึ่งหนึ่งของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด และส่วนที่เหลือจะเป็นการเพิ่มส่วนทุนของบริษัทฯ ตามข่าวคือ จะมีการกู้เงินถึงแสนล้านบาท และเพิ่มทุนถึง 7.4 หมื่นล้านบาท
# หากเทียบราคาปิด GLOW กับราคาที่จะทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ จะมีส่วนเพิ่มได้อีกไม่มากเป็น 2.4% ขณะที่ GPSC ถูกขาย เพราะกังวลการจะเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Cash Call) และมีภาระดอกเบี้ยจ่ายจำนวนมาก
+ ORI เปิดตัว 3 โครงการแนวราบใหม่ใน H2/61 มูลค่า 4 พันลบ. เป้าขึ้น Top 3 รายได้ทะลุ 1 หมื่นลบ.ปี 65
# บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด วางแผนจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์บริทาเนีย (Britania) เกาะทำเลที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก หรือ Blue Ocean แต่มีความต้องการการอยู่อาศัยจริง (Real Demand) และมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่โซนกรุงเทพฯตะวันออก และโซน EEC ภายในช่วง 5 ปี (พ.ศ.61-65) บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่เจาะตลาดใน 3 เซ็กเมนท์ รวมมูลค่าโครงการกว่า 4.9 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปี 65 บริษัทจะเริ่มต้นมีรายได้ทะลุปีละ 1 หมื่นล้านบาทได้เป็นปีแรก และตั้งเป้าจะขึ้นเป็น Top 3 ในใจผู้บริโภคเมื่อนึกถึงโครงการบ้านแนวราบ (Aspen)
# ผลกระทบ: ฝ่ายวิจัยฯ DBS มองบวก เพราะช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ทั้งนี้ ORI มีพื้นฐานธุรกิจมากจากคอนโดโดยโครงการบ้านแนวราบจะมีการเก็งกำไรน้อยกว่าคอนโดมาก เป็นความต้องการซื้อเพื่ออยู่จริง ใช้เวลาก่อสร้างน้อย จึงหมุนมาเป็นกระแสเงินสดได้เร็ว แต่ประการสำคัญคือ เปิดมาแล้วต้องขายได้ จึงยังต้องติดตามในเรื่องนี้ แต่โครงการแรกที่ผ่านมาคือ ทำเล ถ.ศรีนครินทร์ เปิดขายตั้งแต่ปี 60 ก็ขายได้แล้ว 85% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี คงคำแนะนำ ซื้อ ORI ที่ราคาพื้นฐาน 23.40 บาท (ติดตามรายละเอียดได้จากบทวิเคราะห์)
+/• หุ้น DOD เข้าซื้อขาย ตลาด MAI วันแรก วานนี้ สูงกว่าราคาจองถึง 58%
# หุ้น DOD ปิดเทรดวันแรกที่ 14.70 บาท เพิ่มขึ้น 5.40 บาท (+58.06%) จากราคาขาย IPO ที่ 9.30 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 3,897.89 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 10.60 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 14.70 บาท และราคาลงต่ำสุด 9.85 บาท
# DOD ดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ตราสินค้าของลูกค้า และตราสินค้าของบริษัท "Dai a to" (ไดเอโตะ)
+ AOT: บอร์ดอนุมัติโครงการสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สุวรรณภูมิวงเงินลงทุน 4.2 หมื่นลบ.
# รายงานข่าวจาก บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทวานนี้มีมติเห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) วงเงินลงทุน 42,084.564 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มโดยให้ ทอท.เสนอโครงการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป (Aspen)
# ผลกระทบ: เป็นบวก แม้โครงการนี้จะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ถือว่ามีความคืบหน้า และคาดว่าทาง ครม.จะอนุมัติเพราะเป็นประโยชน์กับประเทศ ด้านรายได้จากการท่องเที่ยว-เดินทางเข้าสู่ประเทศ และทำให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตคงคำแนะนำ ซื้อ AOT ด้วยราคาพื้นฐาน 85.00 บาท (ติดตามรายละเอียดได้จากบทวิเคราะห์)
+/- ตลาดฯประกาศ SET50,SET 100 คาดมีการเก็งกำไรสำหรับหุ้น Inclusion หรือขายออกสำหรับหุ้น Exclution
# ประกาศวันที่ 18 มิ.ย.61 มีผลใช้ตั้งแต่ 1 ก.ค.61-31 ธ.ค.61
# สำหรับ SET 50 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (Inclustion) 6 หลักทรัพย์ คือ BGRIM, DELTA, GLOW, KTC, RATCH, TOA
# สำหรับ SET 50 สำหรับหุ้นถูกถอดออก (Exclusion) 6 หลักทรัพย์ คือ BCP, KCE, PSH, SAWAD, TPIPP, WHA
# สำหรับ SET 100 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (Inclustion) 11 หลักทรัพย์ คือ BGRIM, BLA, DELTA, ERW, GLOW, PRM, RATCH, RS, THANI, TOA, TTW
# สำหรับ SET 100 สำหรับหุ้นถูกถอดออก (Exclusion) 11 หลักทรัพย์ คือ ANAN, BA, BEC, BIG, JMART, JWD, MC, MONO, THCOM, TTA, UNIQ
# การคัดเลือกหุ้นที่นำมาคำนวณใน SET50 & SET100 พิจารณาจากมูลค่าการตลาด (Market Cap) และปริมาณ & สภาพคล่องในการซื้อขายเป็นหลัก ไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานหรืองบการเงินของบริษัทโดยตรง อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้ามาคำนวณใน SET50 หรือ SET100 ก็จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกก็อาจจะถูกลดการลงทุนลง
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
ข่าวเด่น