กลยุทธ์วันนี้ >> Stay in Domestic and Defensive//Accumulate on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index พลิกกลับมาอ่อนตัวลง หลังจากฟื้นกลับได้ดีในวันก่อนหน้า โดยยังถูกกดดันจากบรรยากาศการลงทุนภายนอกที่เป็นลบ ตามความกังวลในกรณีสงครามการค้าที่ตึงเครียดมากขึ้น ซึ่งหักล้างตัวเลขส่งออก พ.ค. 18 ที่ออกมาดีกว่าคาดไปทั้งหมด หุ้นกลุ่มใหญ่ทั้งพลังงาน แบงก์ สื่อสาร อ่อนตัวลงถ้วนหน้า มีเพียงกลุ่มโรงพยาบาล อิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก และอสังหาฯ ที่ดูจะแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ แต่เนื่องจากเป็นกลุ่มเล็กจึงไม่สามารถช่วยพยุงตลาดรวมได้ ต่างชาติขายหุ้นต่อเนื่องอีก 3.8 พันลบ. รวมตั้งแต่ต้นปีขายไปแล้ว 1.76 แสนลบ. รวม 5 ปีขายไปแล้วถึง 5.1 แสนลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะแกว่ง Sideway down ไปอีกระยะ โดยบรรยากาศการลงทุนเช้านี้ยังถูกกดันต่อเนื่องจากประเด็นสงครามการค้าโลก จากการตอบโต้ภาษีการค้าสหรัฐฯของทางยูโรโซน แต่อาจจะถูกหักล้างได้บางส่วนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นราว 1.5% ขณะที่ การอ่อนค่าของเงินบาทยังกดดันให้กระแสเงินไหลออก นอกจากนี้ เราคาดว่าแรง Force sell ในหุ้นและ Force Close Margin ใน Single Stock Futures ผ่านธุรกรรม Block Trade ยังมีอยู่ จากข้อสังเกตที่ Prop. Trade ยังคงขายหนัก กลยุทธ์ช่วงนี้จึงยังคงเน้นที่ Domestic Play ซึ่งตลอดทั้งสัปดาห์สะท้อนให้เห็นแล้วว่าสามารถ Outperform ตลาดได้
กลยุทธ์ : พักเงินในหุ้น Domestic และ Defensive//Accumulate on Dip
หุ้นเด่นเดือนมิ.ย. : BGRIM, GLOBAL, MTC, PCSGH, TVO
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$654ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$241ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$117ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเวียดนาม US$5ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคจากความกังวลผลกระทบของสงครามการค้า
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> BDMS <<
- แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 29 บาท
- โมเมนตัมการเติบโตของรายได้ 2QTD ยังดีต่อเนื่องจากการบริโภคในประเทศที่ดีขึ้นและตลาดต่างชาติที่กลับมา รวมถึงกลุ่มประกันที่เติบโตอย่างโดดเด่น โดย BDMS ได้จับมือกับพันธมิตรบริษัทประกันออกประกันสุขภาพที่ให้ใช้บริการในเครือ BDMS ซึ่งเป็นบวกต่อการเติบโตทั้งรายได้และ Margin
- คาดกำไรปกติปีนี้ที่ 9,685 ลบ. +21% Y-Y ส่วนปีหน้าคาดโต 11% Y-Y อยู่ที่ 1.1 หมื่นลบ.
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) ยอดส่งออกพุ่งต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์เผยยอดส่งออกเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น 11.4% Y-Y เป็น US2.2 หมื่นล้านเหรียญ ทำให้ยอด 5 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 11.6% Y-Y เป็น US$1.04 แสนล้านเหรียญ ถ้าจะให้ส่งออกทั้งปีโต 8-9% ตามเป้าของกระทรวงพาณิชย์และ ธปท. อีก 7 เดือนที่เหลือต้องส่งออกให้ได้เฉลี่ยเดือนละ US$2.2 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติ ที่มีภาวะสงครามการค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจถูกกระทบทางอ้อมจากตัวเลขการค้าทั่วโลกที่มีแนวโน้มชะลอใน 2H18 แต่ท่ามกลางความกังวลดังกล่าวก็มีกลุ่มที่ได้ประโยชน์ เช่น CPF (TP 28 บาท) ที่ราคาหมูในเวียดนามปรับขึ้นจากการที่จีนเปลี่ยนนำเข้าจากสหรัฐฯมาเป็นเวียดนามแทน ส่วนกลุ่มที่ยอดส่งออกขยายตัวดีมากใน พ.ค. 18 คือ ยานยนต์ +14% Y-Y ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรา Overweight แนะนำซื้อ AH (TP 47 บาท) และ PCSGH (TP 13 บาท)
(+) กลุ่มโรงแรม จำนวนนักท่องเที่ยวเดือน พ.ค. 18 อยู่ที่ 2.76 ล้านคน +6.4% Y-Y แม้จะชะลอจากช่วง 4M18 ที่ +14% Y-Y แต่เป็นผลจากฐานที่ต่ำในต้นปีก่อน นักท่องเที่ยวจีนยังโตต่อเนื่อง +14% Y-Y ขณะที่รัสเซีย -13% Y-Y ซึ่งคาดว่าอาจมีผลกระทบบางส่วนจากการที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในเดือนนี้ (คาดหดตัวในเดือน มิ.ย. เช่นกัน) อย่างไรก็ตามรายได้จากนักท่องเที่ยวเติบโต +9% Y-Y ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของจำนวน แสดงให้เห็นถึงภาพอุตสาหกรรมที่ยังเป็นบวก แม้กลุ่มโรงแรมจะขาดปัจจัยหนุนระยะสั้นเนื่องจากเป็นช่วง Low Season แต่เรามองการปรับลงของราคาเป็นโอกาสในการสะสม โดยยังเลือก ERW (ราคาเหมาะสม 9 บาท) เป็น Top Pick
(0) KSL จากประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ แม้จะมุมมองว่าราคาน้ำตาลที่ตกต่ำได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่เรายังเห็นปัจจัยที่ยังกดดันให้ราคาน้ำตาลฟื้นตัวได้ช้า จากทั้งคาดการณ์ผลผลิตน้ำตาลโลกปีหน้าจะเกินดุลต่อเนื่องจากปีนี้, คาดเห็นการระบายสต็อกของผู้ประกอบการทั่วโลกในระยะถัดไป และค่าเงินของบราซิลอ่อนค่า ในส่วนของผลการดำเนินงาน เรามองว่าได้ผ่านกำไรสูงสุดปีนี้แล้วใน 2Q18 และคาดกำไรในช่วง 2H18 จะแผ่วลงตามฤดูกาล และจะมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าราว 1 เดือนใน 4Q18 จึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ไว้ที่ 1.33 พันล้านบาท (-32.4% Y-Y) แต่ด้วยการฟื้นตัวของราคาน้ำตาลที่ช้าและน้อยกว่าคาด เราจึงปรับลด PE ลงเป็น 15 เท่า จากเดิม 17 เท่า และปรับลดราคาเป้าหมายปี 2018 เป็น 4.5 บาท จากเดิม 5.1 บาท แม้จะมี Upside 46.1% แต่ยังคงคำแนะนำ เก็งกำไรตามราคาน้ำตาลตลาดโลกเท่านั้น
(+) BEM จ้าง CK เร่งงานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินต่อขยาย (19 สถานี) ให้เปิดเดินรถเร็วขึ้น แบ่งเป็น 1. ช่วงหัวลำโพง-หลักสอง เร็วขึ้น 1 เดือนเป็น 14 ส.ค. 2019 (จากเดิมก.ย. 2019) 2. ช่วงเตาปูน-สิรินธร เร็วขึ้น 3 เดือนเป็น 25 ธ.ค. 2019 (จากเดิมมี.ค. 2020) 3. ช่่วงสิรินธร-ท่าพระ เป็น 2 มี.ค. 2020 (จากเดิมภายในมี.ค. 2020) เป็น Sentiment บวกในแง่ของการเปิดให้บริการบางช่วงได้ไวกว่ากำหนด 1-3 เดือน แต่ยังสอดคล้องกับประมาณการของเราที่คาดการณ์กำไรปี 2018-19 โตเฉลี่ย 15% ต่อปี และคงคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 10 บาท ส่วน CK ยังแนะนำซื้อเช่นกัน ราคาเหมาะสม 40 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
22 มิ.ย.
|
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Manufacturing PMI (มิ.ย.)
|
22-23 มิ.ย.
|
- การประชุมกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC
|
28 มิ.ย.
|
- สหรัฐฯ: 1Q18 GDP ขั้นสุดท้าย ตลาดคาดลดลงเหลือ 2.2% จาก 2.9%
|
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลง หลังจากมีบางประเทศที่ถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีการค้าเริ่มใช้นโยบายตอบโต้สหรัฐ นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ยังถูกกดดัน จากการที่ศาลมีคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีขายจากลูกค้า
(-) ตลาดยุโรปรับตัวลดลงหลังจากบริษัทจดทะเบียนเริ่มปรับลดประมาณการรายได้และกำไรลงจากผลกระทบของสงครามทางการค้า
(-) ตลาดเอเชียยังคงปรับตัวลดลงเล็กน้อยเช้านี้ เนื่องจากนักวิเคราะห์เริ่มปรับคาดการกำไรของบริษัทในประเทศในแถบเอเชียลง ในขณะที่เงินเฟ้อในญี่ปุ่นยังคงส่งสัญญาณว่าจะยังคงไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
() ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงทรงตัวอยู่ที่บริเวณ 32.80-32.90 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากวันก่อนหน้า
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ค. ลดลง 0.17 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 65.54 ดอลลาร์/บาเรลล์ โดยนักลงทุนยังคงรอดูข้อสรุปจากทางกลุ่ม OPEC ว่าจะมีการเพิ่มการผลิตตามที่ตลาดคาดหรือไม่
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. ลดลง 4.00 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,270.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ข่าวเด่น