กลยุทธ์วันนี้ >> Stay in Domestic and Dividend Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index รีบาวด์ขึ้นเหนือ 1,600 จุดได้ตามคาดก่อนที่จะมีแรงขายกดดันและทำให้ดัชนีแกว่งตัว Sideways Down และปิดลบราว 4 จุด ณ สิ้นวัน อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มพลิกมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 2.8 พันลบ. ขณะที่สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.3 พันลบ.เช่นกัน
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index ยังมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways to Sideways Down เนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกใหม่ ราคาน้ำมันดิบปรับลงหลังซาอุดิอาระเบียพร้อมที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2 ล้านบาร์เรลหากจำเป็น ขณะที่แคนาดาที่เริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 1.26 หมื่นล้านเหรียญ ส่วนปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้ที่ต้องติดตามคือท่าทีของสหรัฐฯและจีนว่าจะสามารถเจรจาและผ่อนปรนการเก็บภาษีวงเงิน 3.4 หมื่นล้านเหรียญได้ก่อนวันที่ 6 ก.ค. หรือไม่ เราจึงยังเน้นพักเงินในหุ้น Domestic และ Defensive ที่จ่ายปันผลสูงน่าจะเคลื่อนไหวได้แข็งกว่าตลาด
กลยุทธ์ : ยังพักเงินในหุ้น Domestic และ Defensive ที่จ่ายปันผลสูง
หุ้นเด่นเดือนก.ค. : BANPU, CPF, EPG, PTTEP, TISCO
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$342ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$207ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลเข้า US$86ล้าน ขณะที่ไหลออกจากเวียดนามประเทศเดียว US$8ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกตามความกังวลต่อมาตรการโต้ตอบทางการค้าระหว่างประเทศต่างๆกับสหรัฐ
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> BDMS <<
- แนะนำซื้อ ในฐานะ Top Pick ของกลุ่มโรงพยาบาล ราคาเป้าหมาย 29 บาท
- คาดกำไรสุทธิ 2Q18 ยังอยู่ในโมเมนตัมที่ดี จากการบริโภคที่ฟื้นตัว ตลาดต่างชาติที่กลับมา และกลุ่มประกันที่โดดเด่นต่อเนื่องจาก 1Q18
- คาดกำไรปกติทั้งปีที่ 9,685 ลบ. +21% Y-Y จากรายได้ที่โตทั้งผู้ป่วยไทยและต่างชาติ รวมถึงการควบคุมต้นทุนได้ดีเยี่ยม ขณะที่ โครงการ Wellness Clinic เริ่มเปิดให้บริการแล้วบางส่วน และคาดเปิดเต็มที่ในปี 2019 ซึ่งผลขาดทุนเริ่มแรกจะไม่ฉุดกำไรในภาพรวม เพราะจะถูกชดเชยจากการเติบโตที่ดีของโรงพยาบาลอื่นในเครือ
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) ปรับ SET Target สิ้นปีนี้ลงเป็น 1,750 จุด จากการปรับลง PE ลงจากเดิม 17 เท่าเป็น 16 เท่าเท่ากับค่าเฉลี่ยช่วงที่หุ้นไทยไม่พึ่ง fund flow จากต่างชาติ จากสถานการณ์สงครามการค้าที่รุนแรงกว่าที่เราคาด เราคิดว่าระดับดัชนีที่สูงสุดของปีนี้น่าจะผ่านไปแล้วที่ 1,852 จุด ทั้งนี้ เรายังคงประมาณการ EPS ปีนี้ที่ 109 บาทซึ่งเชื่อว่าเป็นไปได้ เพราะกำไร 1Q18 คิดเป็นเกือบ 30% แล้ว หากจะหา downside ของดัชนี เราคิดว่า PE 14 เท่าเหมาะสม เพราะเท่ากับปี 2015 ที่ทั่วโลกกังวลเศรษฐกิจจีนและเอเชียถดถอย และต่างชาติขายหนัก ที่ระดับดังกล่าวเท่ากับ SET 1,530 จุด ไม่ไกลจากปัจจุบันมากนัก การปรับลงจะเป็นโอกาสในการทยอยสะสมสำหรับลงทุนระยะกลาง-ยาว เพราะเศรษฐกิจไทยและกำไรของบจ.แกร่ง รองรับการเติบโตระยะยาวได้ หุ้นเดือนนี้แนะนำ BANPU, CPF, EPG, PTTEP, TISCO
(+) เศรษฐกิจไทยเดือน พ.ค. ขยายตัวต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของแทบทุกเครื่องจักรทั้งการส่งออก (ยานยนตร์ ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์ สินค้าเกษตร) การจับจ่ายของครัวเรือน และการลงทุนภาคเอกชน สำหรับภาคการผลิตที่โดดเด่นยังคงเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ สำหรับผลกระทบจากสงครามการค้าที่จะมีต่อไทยในปีนี้ยังจำกัดแม้ไทยจะอยู่ในห่วงโซ่การผลิต เพราะสินค้าที่ถูกกระทบ มีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับการส่งออกทั้งหมด แต่หากสงครามการค้ายืดเยื้อและทวีความรุนแรง ทั้งไทยและทั่วโลกก็เลี่ยงผลกระทบได้ยาก
(-) กลุ่มยานยนต์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดได้ข้อสรุปมาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์ใน 3-4 สัปาดห์ข้างหน้านี้ โดยกำลังตรวจสอบว่าการนำเข้ารถยนต์และรถบรรทุกจากต่างประเทศเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงหรือไม่ หากมีการปรับเพิ่มภาษีจริงจะกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ทั้งจากญี่ปุ่นและยุโรปที่เป็นชาติพันธมิตร ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เรายังคาดว่าผลกระทบจะจำกัด เพราะผู้ผลิตส่วนใหญ่ได้รับคำสั่งซื้อ 1-3 ปีล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ งบ 2Q18 และทั้งปีนี้จะออกมาสดใสมาก จังหวะการอ่อนตัวของราคาหุ้นมองเป็นโอกาสซื้อลงทุนทั้งใน AH(TP 47 บาท), SAT(TP 24.10 บาท), และ PCSGH (TP 13 บาท)
(+) BANPU แม้ว่าราคาถ่านหินจะแผ่วลง 2 สัปดาห์ติดต่อกันแต่ยังอยู่ในระดับสูงมากและทำให้ราคาเฉลี่ย 2QTD สูงใกล้เคียงไตรมาสแรกคือ US$104/ตัน ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าทำให้บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เราจึงคาดกำไร 2Q18 ที่ 3.8 พันล้านบาท พลิกจากขาดทุนในไตรมาสก่อนซึ่งมีรายจ่ายค่าแพ้คดี แนวโน้มราคาถ่านหินใน 2H18 จะชะลอลงบ้างตามฤดูกาลแต่ยังอยู่ในระดับสูงจากการขาดแคลนถ่านหินในจีนและอินเดีย ปีนี้เป็นปีที่ดีมากของ BANPU ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PE 9 เท่า เราคงราคาเป้่หมาย 26 บาท แนะนำซื้อ
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
2 ก.ค.
|
- สหรัฐ: ISM ภาคการผลิต (มิ.ย.)
- ยูโรโซน: PMI ภาคการผลิต (มิ.ย.)
- ญี่ปุ่น: ดัชนี Tankan 2Q18
- จีน: Caixin Manufacturing PMI (มิ.ย.)
- ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (มิ.ย.)
|
5-6 ก.ค.
|
- สหรัฐ: เริ่มเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 818 รายการ US$3.4 หมื่นล้าน?
|
12 ก.ค.
|
- ไทย: สนช.นัดลงมติเลือก กกต. ชุดใหม่
|
- (+) ตลาดสหรัฐปรับตัวขึ้นหลังจากธนาคารส่วนใหญ่ในสหรัฐผ่านการทดสอบผล Stress Test รอบล่าสุด ส่งผลให้หุ้นธนาคารส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นหนุนตลาด
- (+) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวดีขึ้นหลังจากสหภาพได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับปัญหาผู้อพยพ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นปัจจัยที่คอยกดดันทางสหภาพมาโดยตลอด
- (-) ตลาดเอเชียเช้านี้ยังคงปรับตัวผสมผสาน ในขณะที่ค่าเงินหยวนของจีนลดลงต่ำสุดตั้งแต่ปี 2015 นอกจากนี้ ตลาดฮ่องกงปิดทำการในวันนี้เนื่องในวันหยุด
- () ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักของโลก ล่าสุดค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ 33.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
- (+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 0.70 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 74.15 ดอลลาร์/บาเรลล์ หลังจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐลดลงจำนวน 4 แท่น
- ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 3.5 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1,254.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ข่าวเด่น