ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน เมื่อวานที่ผ่านมาแกว่งตัวในกรอบแคบ (05/07/61)


 Market summary

  เมื่อวานที่ผ่านมาแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมีแรงขายเด่นใน BEAUTY ภายหลังผู้บริหารมีการเรียกประชุมนักวิเคราะห์ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับลดกว่า 30% (มูลค่าซื้อขายสูงกว่า 1.1หมื่นล้านบาท) อย่างไรก็ตาม มีแรงซื้อในกลุ่มธนาคารอย่าง SCB, KBANK, BBL, TMB และกลุ่ม Leasing อย่าง MTC  และกลุ่ม ICT นำโดย DTAC, TRUE ณ.สิ้นวัน SET กลับมาปิดที่ 1,629.2 จุด (+2.5 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.7 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.8 หมื่นล้านบาท
  นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 2,336 ล้านบาท (สถาบันซื้อ 4,660 ล้านบาท)  แต่ยังคงเปิดสถานะ Long SET50 index future ที่ 7,331 สัญญา

Investment theme
  Tradewar ในระยะยาวประเมินผลกระทบเป็นวงกว้าง จับตา Emerging market  :  ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ สหรัฐจะเริ่มเผยรายละเอียดปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากว่าพันชนิดวงเงินเริ่มต้น 3.5-5.0 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากประเทศจีน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสงครามการค้าโลก (สหรัฐ-นานาประเทศ) อย่างเป็นทางการอีกครั้งในรอบ 16 ปี เบื้องต้นเรามองว่าตลาดหุ้นได้ปรับลดลงในไตรมาสที่ผ่านมา (MSCI EM -10% QTD) ได้สะท้อนประเด็นวงเงินดังกล่าวไปบางส่วน อย่างไรก็ตาม แนะนักลงทุนจับตา 2ปัจจัยสำคัญซึ่งถือเป็น Downside ที่เรามองว่า ณ.ปัจจุบันยังไม่ถูกรวมไว้ นั้นคือ 1)หากสหรัฐปรับขึ้นภาษีรถยนต์จากยุโรป และ 2)หากปรับขึ้นภาษี และออกมาตรการกีดกันสินค้ากลุ่ม IT จากประเทศจีน โดยหากเกิดทั้ง 2 สิ่งนี้ขึ้น เราประเมินผลกระทบจะสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ แต่หากระหว่างทางไม่มีสัญญาณลบจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ณ.ปัจจุบันที่ระดับ PER เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ต่ำกว่า 15.0 เท่า มี Downside ที่จำกัด (กรอบล่างประเมินที่ 1,580+/-จุด) และสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ระยะสั้นแนะนำทยอยสะสม กลุ่ม Domestic นำโดยกลุ่มธนาคาร BBL (เป้าหมาย 235.0บาท), ค้าปลีก BJC (เป้าหมาย 68.0บาท) และรถไฟฟ้า BEM (เป้าหมาย 9.0 บาท )
  Investment Theme:  สำหรับนักลงทุนระยะยาว คงคำแนะนำชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน Trade war ซึ่งจะมีผลจริงในวันที่ 6 ก.ค. แนะจับตาข้อสรุปการกีดกันการลงทุนจากประเทศจีน โดย CFIUS ซึ่งจะส่งผลอย่างมีนัยยะต่อชนวนสงครามการค้า

Big issue
  เมื่อคืนที่ผ่านมา –  Dollar กลับมาอ่อนค่าเล็กน้อย ที่บริเวณ 94.5 และหยวนกลับมาแข็งค่าบริเวณ 6.63 / จีนรายงานยอดการส่งออกไปสหรัฐเดือนมิ.ย.เติบโตเพียง 3.8%YoY

Stock pick : N/A
  Trading idea – สำหรับนักลงทุนระยะสั้น  แนะเก็งกำไร STEC (ราคาเป้าหมาย 25.0 บาท) / GOLD (คาดกำไรทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องใน 2 ปีข้างหน้า) / ทยอยสะสม TPIPP (คาดกำไร Q2 ทำสถิติสูงสุด, ปันผล 7.2%) , ทยอยสะสม BCP (เรามีมมุมมองเชิงบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์) ปัจจุบัน  Downside จำกัด ปันผล 5.6%  แนะซื้อราคาเป้าหมาย 44.0 บาท

Technial View


  Trading เล่น Rebound แต่พิจารณาแรงขายเป็นขั้นๆ :  ดัชนียังคงมีแรง Rebound ต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า แม้ระหว่างวันจะมีการปรับฐาน แต่ก็ยังคงมีแรงซื้อกลับได้ภายในวัน อีกทั้ง Modified Stochastic ที่ตัดขึ้นจากเขต Oversold ระยะสั้นจึงมองว่าดัชนีมีโอกาส Rebound มองแนวต้านที่ 1645 และ 1655 แต่เนื่องจากแนวโน้มหลักยังเป็นขาลง จึงมองว่าจะเป็นเพียง Rebound สั้นๆ เท่านั้น และยังมองเป็นโอกาสทยอยลดพอร์ตสำหรับคนติดหุ้น
  กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น : จังหวะ Rebound ระหว่างวันยังมองเป็น โอกาสเทรดสั้นๆ หรือ ขายเพื่อลดพอร์ต 2)  ไม่มีหุ้น : มองเป็นโอกาสเล่น Rebound สั้นๆ มองกรอบการแกว่ง 1615-1655 เน้นขึ้นขาย-ลงซื้อ
  แนวรับ : 1615, 1625 แนวต้าน : 1645, 1655

Keep an eye on...
  ปัจจัยต่างประเทศ:  จับตาปัญหา Trade war  / 5 ก.ค. รายงานการประชุม Minute
  ปัจจัยในประเทศ:  -

หุ้นเทคนิค:
  CPALL (B 75.00-76.00, Tp 79.00// 81.00, Cut 74.00)
  CPN (B 71.50, Tp 76.00, Cut 70.00)


บันทึกโดย : วันที่ : 05 ก.ค. 2561 เวลา : 10:01:27

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 3:28 am