Market summary
เมื่อวานที่ผ่านมา SET เผชิญกับแรงขายเด่น นำโดยหุ้นขนาดกลางหลายตัวที่ PER สูง นำโดย BEAUTY (-20.8%), DDD (-15%), CBG (-9.9%), RS (-10.4%), TKN (-7.8%), AU (-10%) และกลุ่มโรงกลั่นอย่าง TOP, IRPC, BCP กลุ่มปิโตรอย่าง IVL, PTTGC ณ.สิ้นวัน SET กลับมาปิดที่ 1,601.9 จุด (-27.2จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.5 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.7 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยที่ 1,345 ล้านบาท (สถาบันขาย 370 ล้านบาท) และเปิดสถานะ Short SET50 index future ที่ 2,737 สัญญา
Investment theme
ติดตามบทสรุป 2ปัจจัยสำคัญ : ในวันนี้จะมี 2 เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นผ่านค่าเงินดอลลาร์,หยวน และราคาน้ำมัน นำโดยการเปิดเผยรายละเอียดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เบื้องต้นตลาดประเมินว่าสหรัฐจะขึ้นภาษี 25% วงเงินประมาณ 3.5-5.0 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยแนะนักลงทุนจับตา 2 ปัจจัยสำคัญซึ่งถือเป็น Downside ที่เรามองว่าณ.ปัจจุบันยังไม่ถูกรวมไว้ นั้นคือ 1)หากสหรัฐปรับขึ้นภาษีรถยนต์จากยุโรป และ 2)หากปรับขึ้นภาษี และออกมาตรการกีดกันสินค้ากลุ่ม IT จากประเทศจีน โดยหากเกิดทั้ง 2 สิ่งนี้ขึ้น เราประเมินผลกระทบจะสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ และอีกปัจจัยได้แก่อิหร่านจะมีการหารือกับประเทศมหาอำนาจอย่างจีน, เยอรมัน, อังกฤษ, รัสเซีย ที่กรุงเวียนนาเพื่อร่วมกันหามาตรการแก้ไขข้อตกลงนิวเคลียร์ ซึ่งหากยุโรปเห็นด้วยกับสหรัฐในการกีดกัดการค้าและคว่ำบาตรอิหร่านเราประเมินผลกระทบดังกล่าว 1) อิหร่านมีโอกาสถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ Geopolitical risk กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง และ 2) หากบรรลุข้อตกลง นั่นหมายถึงอาจมีเพียงสหรัฐที่ยกเลิกการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน
ในขณะที่ประเทศอื่นๆยังคงนำเข้า แต่ในระยะสั้นทำให้ความกังวลจาก Supply ลดลงกดดันราคาน้ำมัน
Investment Theme: ปัจจุบันเรายังไม่สามารถประเมินผลกระทบเรื่องสงครามการค้าได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามแนะเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Goods ที่มีโอกาสได้รับผลกระทบ และสำหรับนักลงทุนระยะสั้น แนะหันเข้าสะสมกลุ่ม Domestic นำโดยกลุ่มอสังหา (GOLD) กลุ่มค้าปลีก (BJC) กลุ่มรถไฟฟ้า (BEM) และกลุ่มธนาคาร (BBL)
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – ม.หอการค้าเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 81.3 ในขณะที่ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจที่ 67.9 (จาก 66.9 ในเดือนก่อน) / Abe วางแผนเยือนจีนอีกครั้งในเดือนต.ค. / รายงานการประชุม FED กังวลสงครามการค้าโลก อาจส่งผลต่อการขึ้นดอกเบี้ย / สต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯรายสัปดาห์ +1.25 ล้านบาร์เรล สวนคาดที่ -5.1 ล้านบาร์เรล
Stock pick : N/A
Trading idea – สำหรับนักลงทุนระยะสั้น แนะเก็งกำไร STEC (ราคาเป้าหมาย 25.0 บาท) / GOLD (คาดกำไรทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องใน 2 ปีข้างหน้า) / ทยอยสะสม TPIPP (คาดกำไร Q2 ทำสถิติสูงสุด, ปันผล 7.2%) , ทยอยสะสม BCP (เรามีมมุมมองเชิงบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์) ปัจจุบัน Downside จำกัด ปันผล 5.6% แนะซื้อราคาเป้าหมาย 44.0 บาท
Technical View
ยังคงมีความเสี่ยงทำ Low ใหม่ : ตั้งแต่เปิดตลาดดัชนีปรับตัวลงแรงจากแรงขายหุ้นในกลุ่ม Big Cap. หลากหลายกลุ่ม จึงเกิดเป็นแท่งเทียนแดงยาว ทำลายสัญญาณ Reversal ทั้ง 2 วันที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงทดสอบแนวรับ Low 1585 และคาดมีโอกาสหลุดแนวรับดังกล่าว มองแนวรับถัดไปที่ 1550 ยังคงแนะนำให้ชะลอการลงทุนจนกว่าดัชนีจะหยุดลงหรือมีสัญญาณ Rebound ที่ชัดเจนมากกว่านี้
กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น : หลุด Low วานนี้ที่ 1615 ต้องทยอยลดพอร์ต และหากหลุด Low ที่ 1585 ต้อง Stop Loss 2) ไม่มีหุ้น : รอจนกว่าดัชนีจะหยุดลงหรือมีสัญญาณ Rebound ที่ชัดเจนมากกว่านี้
แนวรับ : 1550, 1585 แนวต้าน : 1605, 1610
Keep an eye on...
ปัจจัยต่างประเทศ: จับตาปัญหา Trade war / ประชุมข้อตกลงอิหร่าน / คืนนี้ติดตามการจ้างงานนอกภาคเกษตร
ปัจจัยในประเทศ: สัปดาห์หน้าติดตามการรายงานผลประกอบการ 2Q61 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์
หุ้นเทคนิค:
CPALL (B 75.00-76.00, Tp 79.00// 81.00, Cut 74.00)
BDMS (B 24.50, Tp 27.00, Cut 24.00)
ข่าวเด่น