ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน คาดหลังจากนี้ดัชนีมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น (10/07/61)


 ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้

  (+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +320.11, NASDAQ +67.82, S&P +24.35, FTSE +70.29, CAC +22.34 และ DAX +47.72
ภายใต้ปัจจัยหนุนจากกลุ่มธนาคาร ที่คาดได้ปัจจัยบวกจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ล่าสุดที่ปรับเพิ่มขึ้น จากการลดถือครองพันธบัตรรัฐบาล หลังคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป
จะเปิดเผยผลประกอบการ – 2Q/61 ในสัปดาห์นี้ 
  พร้อมกับมุมมองบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากตัวเลขที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการจ้างงานนอกภาคการเกษตร - มิ.ย. ที่ขยายตัวดีกว่าคาด
  ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์การเมืองในอังกฤษ หลังรัฐมนตรีคนสำคัญของอังกฤษได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง จากประเด็นการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ที่มีความขัดแย้งกัน
  ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. +US$0.05 อยู่ที่ US$73.85 ต่อบาร์เรล หลังบรรษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย (NOC) เปิดเผยว่า การผลิตน้ำมันภายในประเทศลดลงมาอยู่ที่ระดับ 527,000 บาร์เรล/วัน จากระดับสูงสุดที่ 1.28 ล้านบาร์เรล/วัน และคาดการณ์ว่า ตลาดน้ำมันจะประสบภาวะตึงตัว หากสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งรัฐบาลสหรัฐเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ และบริษัทน้ำมัน ระงับการซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านภายในวันที่ 4/11/61 พ.ย. มิฉะนั้นจะถูกสหรัฐฯ ทำการคว่ำบาตร
  อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นยังเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากยังได้รับปัจจัยกดดันจากปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ที่ยังเพิ่มต่อเนื่อง
  ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. +US$3.8 อยู่ที่ US$1,259.6  ภายใต้ความความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
  อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นยังเป็นไปอย่างจำกัด หลัง DJIA เพิ่มขึ้น ทำให้ส่วนหนึ่งเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่นหุ้น
  (-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -2,545 ล้านบาท ยอดสะสม -193,149 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท และปี’60 ขายสุทธิสะสม 25,755 ล้านบาท)

ประเด็นที่ต้องติดตาม 10 - 12 ก.ค.’61
  10/7/61 ไม่มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ
  11/7/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
    (1) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.
    (2) สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ค.
    (3) สต็อกน้ำมัน 
  12/7/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
    (1) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย.
    (2) ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
  12/7/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
        (1)   Consumer sentiment index

ทิศทางตลาด
  ตามตลาดต่างประเทศ? คาดมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ แม้ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ และคาดยังมีความกังวลต่อประเด็นการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม คาดตลาดสะท้อนประเด็นดังกล่าวไปบ้างแล้วในช่วงที่ผ่านมา และหากสถานการณ์ดังกล่าวไม่รุนแรงไปจากความคาดหมายก่อนหน้า 
  คาดหลังจากนี้ดัชนีมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น จากมุมมองที่เป็นบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะของสหรัฐฯ ที่มีความแข็งแกร่ง 
ทางด้านราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับสูงในรอบกว่า 3 ปี เฉลี่ย (WTI, Brent และ Dubai) 74 – 77USD/บาร์เรล คาดยังส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน
  ประเด็นในประเทศคาดจะเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น จากการที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการ 2Q61 เริ่มโดยกลุ่ม Bank เบื้องต้นคาดภาพ YoY ดีขึ้นหลังจากตั้งสำรองไปมากแล้วในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะทยอยประมาณกลางเดือนนี้ หลังจากนั้นเป็นกลุ่ม Real Sector ถึงกลางเดือนส.ค.
  อย่างไรก็ตามคาดยังได้รับ Sentiment เป็นลบ จาก Fund Flow ยอดขายสุทธิของต่างชาติ YTD ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องเกือบ 2 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามหากมีการกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจน (คาดภายในก.พ.’62) คาดช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นการลงทุนกลับมา โดยเฉพาะจากต่างชาติกลับเข้ามาอีกครั้ง ทางด้านเงินบาทล่าสุด 32.05 บาท แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเคลื่อนไหวบริเวณ 32.20 บาท
   ขณะที่ในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับ Sentiment บวกจากโครงการ EEC คาดส่งผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ภายใต้โครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน ล่าสุดเปิดขายซองประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา) ช่วงวันที่ 18/6/61 – 9/7/61 มูลค่าเงินลงทุน ประมาณ 2.2 แสนล้านบาท โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบ net cost  อายุโครงการ 50 ปี และกำหนดยื่นซองประมูล 12/11/61 คาดลงนามสัญญาต้นปี’62
และยังแนะจับตา
  (1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL เป็นต้น
  (2) กลุ่มพลังงาน ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง เช่น PTT, PTTEP เป็นต้น
  (3) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการ EEC คาดได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน
  
  ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.03 อยู่ที่ 2.86% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
  ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.68 อยู่ที่ 12.69
  หุ้นแนะนำ : KTB


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 10 ก.ค. 2561 เวลา : 09:34:09

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 3:55 am