ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน ตามตลาดต่างประเทศ คาดมีโอกาสปรับขึ้น(13/07/61)


 ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้

  (+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +224.44, NASDAQ +107.31, S&P +24.27, FTSE +59.37, CAC +51.97 และ DAX +75.84
เริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจีนยังไม่ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ แม้คณะทำงานของ
ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอัตรา 10% จากจีน เพิ่มอีก 2 แสนล้านUSD เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (11/7/61) ก็ตาม โดยสหรัฐฯ และจีน มีแนวโน้มยุติสงครามการค้าระหว่างกัน ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า 
ทางด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด (1) ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ลดลง 18,000 ราย อยู่ที่ 214,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่พ.ค. ที่ผ่านมา และ (2) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) - มิ.ย. เพิ่มขึ้น 0.1%MoMต่ำกว่าที่คาดว่าจะอยู่ที่ 0.2% แต่เพิ่มขึ้น 2.9%yoy ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่ก.พ.’ 55
  และอยู่ระหว่างติดตาม การเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป เป็นต้น ขณะที่คาดผลประกอบการ – 2Q/61 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 20% หลังเพิ่มขึ้น 24% เมื่อ 1Q/61
  ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. -US$0.05 อยู่ที่ US$70.33 ต่อบาร์เรล หลังบรรษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย เปิดเผยว่า
มีการเปิดสถานีส่งออกน้ำมัน 4 แห่ง หลังถูกปิดไปก่อนหน้านี้ ซึ่งจะทำให้มีการส่งออกน้ำมันราว 850,000 บาร์เรล/วันเข้าสู่ตลาด
  ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. +US$2.2 อยู่ที่ US$1,246.6ต่อออนซ์ ภายใต้ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (11/7/61)
  (-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -558 ล้านบาท ยอดสะสม -195,867 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท และปี’60 ขายสุทธิสะสม 25,755 ล้านบาท)

ประเด็นที่ต้องติดตาม 13 - 18 ก.ค.’61
13/7/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
  (1) ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย.
  (2) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.

16/7/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
  (1) ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนก.ค. 
  (2) ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.
  (3) สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ค.

17/7/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
  (1) การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.
  (2) ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ค

18/7/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
  (1) ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนมิ.ย.
  (2) สต็อกน้ำมัน
  (3) รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากเฟด

ทิศทางตลาด
  ตามตลาดต่างประเทศ? คาดมีโอกาสปรับขึ้นในทิศทางเดียวกับต่างประเทศ ภายใต้ Sentiment บวก โดยเฉพาะการส่งสัญญาณต่อความพยายามยุติปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ล่าสุด (11/7/61) สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าอัตรา 10% จากสินค้าจากจีน เพิ่มอีก 200,000 ล้านUSD โดยครอบคลุมสินค้า 6,000 รายการ คาดจะมีการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ระหว่าง 2 ประเทศ อย่างไรก็ตามยังแนะติดตามต่อเนื่อง (+) หากสามารถเจรจาต่อรอง และสถานการณ์ไม่ลุกลามไปจากความคาดหมายเดิม (-) หากไม่สามารถเจรจาต่อรองกันได้ คาดการตอบโต้อาจมีความรุนแรง และอาจส่งผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งเป็นความกังวลและกดดันภาพรวมตลาดต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ 
  พร้อมยังแนะติดตามเงินสหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง หลังตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามการส่งสัญญาณก่อนหน้านี้อีก 2 ครั้ง ในเดือนก.ย. และ ธ.ค. ตามลำดับ ซึ่งคาดทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายในรูปเงินสหรัฐฯ ราคาลดลง อย่างไรก็ตามเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออก 
  นอกจากนี้คาดราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ภายใต้ความกังวลปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น คาดยังเป็น Sentiment ลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน  ประเด็นในประเทศคาดจะเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น จากการที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการ 2Q61 เริ่มโดยกลุ่ม Bank เบื้องต้นคาดภาพ YoY ดีขึ้นหลังจากตั้งสำรองไปมากแล้วในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะทยอยประมาณกลางเดือนนี้ หลังจากนั้นเป็นกลุ่ม Real Sector ถึงกลางเดือนส.ค.
  อย่างไรก็ตามคาดยังได้รับ Sentiment เป็นลบ จาก Fund Flow ยอดขายสุทธิของต่างชาติ YTD ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องเกือบ 2 แสนล้านบาท ทางด้านเงินบาทล่าสุด 32.20 บาท แข็งค่าเมื่อเทียบกับช่วงต้นสัปดาห์ที่32.34 บาท ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสูงสุดนับจากต้นปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหากมีการกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจน (คาดภายในก.พ.’62) คาดช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นการลงทุนกลับมา โดยเฉพาะจากต่างชาติกลับเข้ามาอีกครั้ง 
  ขณะที่ในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับ Sentiment บวกทิศทางการเติบโตเศรษฐกิจ หลังหลายหน่วยงานปรับเพิ่ม GDP ปี’61 ขึ้นมาอยู่ในระดับ 4.4 – 4.5% ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์พร้อมปรับเพิ่มเป้าหมายการส่งออกขึ้นเป็น 9.0% นอกจากนี้ยังมีการเร่งรัดเปิดประมูลโครงการรถไฟทางคู่ Phase 2 ภายในปีนี้ ซึ่งคาดยังเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

และยังแนะจับตา
  (1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL เป็นต้น
  (2) กลุ่มพลังงาน ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง เช่น PTT, PTTEP เป็นต้น
  (3) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการ EEC คาดได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน
  ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.01 อยู่ที่ 2.85% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
  ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -1.05 อยู่ที่ 12.58
  หุ้นแนะนำ : UNIQ


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 13 ก.ค. 2561 เวลา : 09:20:04

23-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 23, 2024, 8:42 pm