|
|
|
|
|
|
Today Selections >> AP, BANPU, ERW
Stock S R Comment
AP 8.65 8.90 เริ่มโอนโครงการหรู Vittorio เสริมทัพกลุ่ม High end
BANPU 20.50 21.20 ราคาถ่านหินช่วง 2Q61 พร้อมการผลิตที่เพิ่มขึ้นในอินโดและออสเตรเลีย
ERW 6.30 6.80 2H61 เปิดโรงแรมใหม่อีก 6 แห่ง เน้น Bedget และ Economy Hotel
KCE could benefit from U.S.-China trade tensions
THB : ยืนยันมุมมองที่ว่าเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าน้อยลงในช่วงถัดไป เนื่องจาก
1) แรงขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ที่ชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งมักเป็นตัวสะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่างชาติต่อค่าเงินบาท
2) การออกมายอมรับของผู้ว่าธปท.ต่อสาธารณะชนว่า ธปท.ได้เข้าแทรกแซงการเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาบางส่วน เพื่อเป็นการชะลอการอ่อนค่า ซึ่งสะท้อนออกมาโดยระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลงต่อเนื่อง นับตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา
มองเช่นเดิมว่า Downside ของเงินบาทที่จำกัดนี้ จะเป็นการจำกัดการขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป
กลยุทธ์การลงทุน : ยังคงคาดหวังการรีบาวด์ของ SET Index ในเดือนนี้สู่เป้าหมายในกรณีฐานที่ 1650 จุด และกรณีดีสุดที่ 1700 จุด (หากผลประกอบการบจ.ออกมามี Positive surprise) โดยดัชนียังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการเข้าซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นสำคัญ แนะนำถือหุ้นในกลุ่ม Blue chip ต่อไปจนกว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นถึงเป้าหมายของเราในเดือนนี้ที่ 1650 จุด ซึ่งนักลงทุนระยะสั้นอาจใช้เป็นจังหวะในการ Take profit ออกมาก่อนหนึ่งรอบ เนื่องจากประมาณการกำไรของบจ.เริ่มที่จะถูกหั่นลงอีกครั้ง ส่วนนักลงทุนระยะกลาง-ยาว อาจเลือกถือหุ้นต่อไปได้ เนื่องด้วยระดับ Forward PE ปัจจุบันนั้นยังคงอยู่พียงแค่ 13.6 เท่า ต่ำกว่าระดับ 14.1 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เราย้ำมาตลอดว่าเป็นบริเวณการซื้อขายที่ตลาดหุ้นไทยมักมีเสถียรภาพมากที่สุด
"หุ้นดีดกลับ" : จากการที่เราประเมินว่า SET Index มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นในเดือนนี้ เราจึงได้วิเคราะห์และคัดกรองหุ้นที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดในรอบนี้ ซึ่งเราประเมินว่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 เป็นสำคัญ เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มนี้มีการปรับฐานลงมามาก ไม่สอดคล้องกับประมาณการกำไรที่ถูกปรับลดทอนเพียงแค่เล็กน้อย โดยในมุมมองของเรา หุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะปรับตัวได้ดีกว่าตลาดในรอบนี้จะต้องมีคุณสมบัติหลายประการ (แนะนำติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์วันที่ 11 กรกฎาคม) ซึ่งจากการคัดกรองของเราพบว่ามีหุ้นอยู่ 14 บริษัทที่เข้าเกณฑ์ และมองเป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการถือในพอร์ต เพื่อรองรับการปรับตัวรีบาวด์ของดัชนีในช่วงถัดไป ได้แก่
1) กลุ่มพลังงาน ได้แก่ BANPU, PTT, PTTEP, SPRC, TOP
2) กลุ่มปิโตรเคมี ได้แก่ IVL, PTTGC
3) กลุ่มธนาคาร ได้แก่ SCB, TMB
4) กลุ่มสื่อสาร ได้แก่ TRUE, DTAC
5) กลุ่มอื่นๆ ได้แก่ ROBINS, SCC, TU
KCE: เราออกบทวิเคราะห์วันนี้ประเมินว่าจะเป็นบริษัทหนึ่งที่ได้ประโยชน์สุทธิจากประเด็น Trade war ที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับจีน ณ ขณะนี้ โดยถึงแม้ว่าการตั้งกำแพงภาษีนำเข้ารถยนต์มูลค่า 2.75 แสนล้านดอลลาร์ของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ลดลง ทว่า KCE จะยังได้รับผลดี เนื่องจากผู้ผลิตแผงวงจร PCB ในรถยนต์รายใหญ่ของจีนจะรับออร์เดอร์ที่ลดลงมากกว่าคำสั่งซื้อแผง PCB ที่ลดลงของบริษัทรถยนต์จากการตั้งกำแพงภาษีต่อจีน ซึ่งจะทำให้ยอดขายแผงวงจรของ KCE ในปี 2020 สูงขึ้นกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อน Trade War ล่าสุดเราประเมินว่า Gross margin ของบริษัทจะสามารถปรับขึ้นไปสู่ระดับร้อยละ 30 กว่าๆอีกครั้งตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป จากราคาทองแดงที่น่าจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปจากปัจจัย Trade war นี้ และปรับเพิ่บราคาเป้าหมายเป็น 50 บาท เปลี่ยนคำแนะนำจาก "ถือ" เป็น "ซื้อ"
แนวรับ 1,627 แนวต้าน 1,653
บทวิเคราะห์วันนี้ :
- KCE (ซื้อ ราคาเป้าหมาย 50 บาท) ในวิกฤตมีโอกาส และ โอกาสในปีนี้... น่าจะเป็นของ KCE
Today's Event :
- NCL ลูกหุ้นเข้า 29,325,338 หุ้น
- SCB ลูกหุ้นเข้า 37,884 หุ้น
|
บันทึกโดย : Adminวันที่ :
13 ก.ค. 2561 เวลา : 10:12:56
|
|
|
|
|
ข่าวเด่น