Market summary
เมื่อวานที่ผ่านมา SET เผชิญกับแรงขายภายหลังสหรัฐเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายทำกำไรเด่นในกลุ่มธนาคารอย่าง KBANK, SCB, KTB และกลุ่มพลังงาน PTT, PTTEP, BANPU ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,708.2 จุด (-13.7 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.3 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 6.0 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันที่ 347 ล้านบาท แต่กลับมาเปิดสถานะ Short SET50 index future เป็นวันแรกในรอบ 10 วันทำการ ที่ 9,612 สัญญา
Investment theme
สงครามการค้า ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยกดดัน: ถึงแม้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีของการเจรจาการค้าระหว่างยุโรป-แคนาดา-แม็กซิโกกับสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนยังไม่มีท่าทีการเจรจา โดยทั้ง 2 ประเทศ เริ่มหันใช้นโยบายการตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพื่อบรรเทาผลกระทบของการส่งออก-นำเข้าที่มีโอกาสลดลงภายหลังเริ่มขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากว่าพันรายการ ในขณะที่ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม จะมีการทำประชาพิจารณ์ครั้งใหญ่เพื่อขึ้นภาษีนำเข้าอีกครั้งเป็นวงเงินรวมสูงกว่า 2.0 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (จากปัจจุบันที่ 5.0 หมื่นล้านสหรัฐ) ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการเกินดุลของประเทศจีนที่ 3.7 แสนล้านเหรียญ และเมื่อเทียบกับการขึ้นภาษียุโรปเพียง 3 พันล้านเหรียญ โดยเรามองว่าตลาดหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยดังกล่าว และถือหนึ่งในปัจจัยความเสี่ยงหลักที่เป็นการจำกัด Upside ของ SET ในช่วงปลายเดือน
Investment Theme: เราประเมินกรอบ SET เดือนสิงหาคม บริเวณ 1,680-1,720 จุด อย่างไรก็ตาม หาก SET ปิดต่ำกว่า 1,700 จุด ในระยะสั้นมีโอกาสเข้าสู่ช่วงการพักฐาน โดยเราคงคำแนะนำถือเงินสดไม่ต่ำกว่า 40% และทยอยสะสมหุ้น Domestic อย่างกลุ่มธนาคาร BBL, กลุ่มก่อสร้าง STEC, CK และกลุ่มรถไฟฟ้าและโรงไฟฟ้าที่มีลักษณะ Defensive อย่าง BEM, TPIPP และเก็งกำไรบริษัทที่คาดผลประกอบการ Q2 เด่นอย่าง PTTGC, CPF
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – ค่าเงินบาททรงตัวบริเวณ 33.3 / Brent ปรับตัวขึ้นที่ 73.2 / ธนาคารอังกฤษปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.75%
COTTO เข้าซื้อขายในตลาดวันนี้ (เกิดจากการควบรวมกิจการ)
Stock pick : -
แนะนำสะสม 4 หุ้นเด่น ที่คาดผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรก และกำไรจะเร่งตัวขึ้นเด่นชัดในช่วงครึ่งหลังของปี อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลในระดับที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดการลงทุนมากยิ่งขึ้น แนะนำ 4 หุ้นเด่น ดังนี้
SCC : ความต้องการปูนซีเมนต์ฟื้นตัว + ความต้องการปิโตรเคมีเร่งตัวขึ้น
BCP : ฟื้นตัวหลังจากปิดซ่อมบำรุง 2Q18 + เตรียมนำ บ.ลูก เข้าตลาด
KBANK : คาดได้อานิสงส์บวกจากดอกเบี้ยขาขึ้น + เป้าหมายต่างชาติ
SYNEX : เข้าสู่ช่วง High Season + รุกธุรกิจบริการ margin สูง
Technical View
หากหลุด 1700 แนะนำ Lock Profit รอบนี้: ดัชนีปรับตัวลงจากแรงขายหุ้น Big Cap. แทบทุกกลุ่ม แต่ยังคงมีแรงซื้อกลับที่แนวรับจิตวิทยา 1700 และกลับมาปิดที่บริเวณเส้น EMA200วัน วันนี้มองว่าหากดัชนีอ่อนตัวไม่หลุด 1700 มองเป็นเพียงการปรับฐานในระยะสั้นเพื่อรอการแกว่งตัวขึ้นต่อ แต่หากหลุด 1700 แนะนำ Lock Profit ในขาขึ้นรอบนี้ทันที (เนื่องจากดัชนีหลุด 1710 นักลงทุนควร Lock Profit บางส่วนไปบ้างตามคำแนะนำก่อนหน้า) กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น : Lock Profit บางส่วนหลังหลุด 1710 และหากหลุด 1700 แนะนำ Lock Profit ทั้งหมด จังหวะ Rebound ทยอยลดพอร์ตตามแนวต้าน 2) ไม่มีหุ้น : จังหวะอ่อนตัวระหว่างวัน หากไม่หลุด 1700 มองเป็นโอกาส Trading 1700-1720
แนวรับ : 1680, 1700 แนวต้าน : 1720, 1730
Keep and eye on...
ปัจจัยต่างประเทศ: การจ้างงานนอกภาคเกษตร US ศุกร์นี้
ปัจจัยในประเทศ: 20 สค. 2Q61 GDP ของไทย
หุ้นเทคนิค:
PTTGC (B 83.00-84.00, Tp 88.00//90.00, Cut 82.50)
CPF (B 26.00, Tp 29.00, Cut 25.50)
ข่าวเด่น