“จีนตอบโต้สหรัฐแล้ว แต่ SET มี Flow หนุน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับขึ้นต่อถึง 14.38 จุด ที่ 1721.64 จุด ระหว่างวันไปทำยอดสูงสุดที่ 1723.50 จุด ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายสูงขึ้นที่ 54.3 พันล้านบาท วานนี้มีปัจจัยต่างประเทศหนุนให้ไปต่อได้ คือ ดาวโจนส์ น้ำมันปรับขึ้น ดอลลาร์อ่อน บาทแข็ง เงินไหลเข้า แต่ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ การคว่ำบาตรอิหร่านและสงครามการค้าสหรัฐ-จีน วานนี้หลักทรัพย์กลุ่มสื่อสารเด่น หลัง DTAC และ ADVANC จะเข้าประมูลคลื่น 1800 MHz แต่ TRUE ไม่เข้าประมูล ผู้ซื้อสุทธิคือ ต่างประเทศ 2.9 พันล้านบาท สถาบัน 1.8 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 3.7 พันล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ 1.0 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีปัจจัยต่างประเทศที่ชะลอลง คือ ดาวโจนส์ น้ำมันปรับลง และที่สำคัญจีนกลับมาตอบโต้เก็บภาษีจากสหรัฐแล้ว แต่ปัจจัยที่ดีคือดอลลาร์อ่อน บาทแข็ง เงินไหลเข้า ต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่อง นั่นคือยังช่วยหนุนดัชนีฯได้ต่อ แต่ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ การคว่ำบาตรอิหร่านและสงครามการค้า สหรัฐ-จีน ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่ลบแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า -32 จุด (8.34 น.) น้ำมันเช้านี้แกว่งแคบ ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีสลับออกมา ส่วนภาพใหญ่ปัจจัยต่างประเทศเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้ง ในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไปแต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่หากทรัมป์ถูกต่อต้านมากๆในอนาคต จนต้องกลับมาเจรจาก็จะเป็นแรงดีดกลับของ SET ได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1680-1740 จุด
Update หุ้นเด่น : HMPRO – กำไรสุทธิ 2Q61 เป็น 1.3 พันล้านบาท +16% y-o-y เพราะ 1) รายได้เพิ่ม 4.3% เพราะอัตราเติบโตสาขาเดิม (SSSG) เพิ่ม 3% และการขยายสาขา 2) อัตรากำไรขั้นต้นทำได้ดีขึ้นเพิ่ม 1% เป็น 27% เพราะ product mix ที่ดีขึ้น และ 3) ดอกเบี้ยจ่ายลดลง มีแผนที่จะเพิ่มสาขาในรูปแบบ HomePro S ถึง 4 แห่ง ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ (2H61) และยังใช้กลยุทธ์การเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มการจำหน่ายสินค้าในแบรนด์ตนเอง (Private label) มากขึ้น เราคาดว่ากำไรในรอบ 2H61 ยังเติบโตดีเป็นเลข 2 หลัก คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 17.50 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวก แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสรา้ ง อยา่ งไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น BAY, ANAN, CKP, PTT, BH, HMPRO, CHG ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ BCP, SCC, PTTEP, TU หุ้นที่หลุด List CTW และที่ให้หาจังหวะ Take profit คือ AUCT, BBL, CPALL, GLOBAL
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลง วิตกสงครามการค้า หุ้นพลังงานตก
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,583.75 จุด ลดลง 45.16 จุด หรือ -0.18% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,857.70 จุด ลดลง 0.75 จุด หรือ -0.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,888.33 จุด เพิ่มขึ้น 4.66 จุด หรือ +0.06%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศต่างก็ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 25% เมื่อวานนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอย่างหนัก รวมทั้งผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดของบริษัทวอลท์ ดิสนีย์
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง EIA เปิดเผยสต็อกน้ำมันลดน้อยกว่าคาด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 2.23 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 66.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 2.37 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 72.28 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญานํ้ามันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 3% เมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบปรับตัวลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่จีนประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตรา 25% ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบ
• ทองคำ : ปรับขึ้น เพราะดอลลาร์อ่อนค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.7 ดอลลาร์ หรือ 0.22% ปิดที่ 1,221 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหลังจากสหรัฐและจีนใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าล่าสุดเมื่อวานนี้
-จีนตอบโต้สหรัฐฯแล้ว เก็บภาษีนำเข้าเพิ่มบ้าง
# กระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงเมื่อวานนี้ว่า จีนจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบและรถยนต์ โดยการดำเนินการดังกล่าวของจีนมีขึ้นเพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งเมื่อวานนี้ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.
+ ดอลลาร์อ่อนค่า วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองประเทศต่างก็ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 25% เมื่อวานนี้
-รายละเอียดสหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน
# รัฐบาลสหรัฐได้บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่านเมื่อวานนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดกั้นรัฐบาลอิหร่านในการเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ, การทำธุรกรรมในสกุลริอัลในบัญชีธนาคารระหว่างประเทศ หรือในการออกพันธบัตร,การทำธุรกรรมซื้อขายทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงถ่านหิน อลูมินัม และเหล็กสำหรับการผลิตในภาคอุตสาหกรรม และการผลิตรถยนต์ ซึ่งมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่อิหร่านบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติในปี 2558 เพื่อแลกเปลี่ยนกับการยกเลิกโครงการนิวเคลียร์
# ทั้งนี้ มาตรการที่สหรัฐใช้คว่ำบาตรอิหร่านเมื่อวานนี้ ถือเป็นมาตรการรอบแรก ก่อนที่สหรัฐจะออกมาตรการคว่ำบาตรรอบ 2 ในเดือนพ.ย. ซึ่งจะพุ่งเป้าไปยังการทำธุรกรรมของธนาคารกลาง การส่งออกน้ำมัน และการขนส่งสินค้าทางเรือของอิหร่าน
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ต้องติดตามต่อไป
# ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
• กนง.ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตามคาด
# กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นับเป็นการตรึงดอกเบี้ยครั้งที่ 26 ภายหลังการลงมติ 6 ต่อ 1 โดยมี 1 เสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันที่มีการลงมติอย่างไม่เป็นเอกฉันท์
# นับเป็นอีกครั้งที่คณะกรรมการกนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่องและมีมุมมองเชิงบวกทั้งด้านต่างประเทศและในประเทศ โดยภาคส่งออกมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าคาด ส่วนหนึ่งเนื่องจากการย้ายฐานการผลิตของบางอุตสาหกรรมมายังประเทศไทย คณะกรรมการระบุถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการค้าต่างประเทศของสหรัฐฯ พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังอยู่ในระดับต่ำ และแนวโน้มการเคลื่อนไหวที่ผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและกนง.ยังแสดงความกังวลในเรื่องผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวหลังเกิดเหตุเรือท่องเที่ยวล่มที่ภูเก็ตและสภาวะอุปทานคงค้างของคอนโดมิเนียมในบางพื้นที่ นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีความเสี่ยงด้านต่ำจากความผันผวนของราคาอาหารสด
# คณะกรรมการกนง. มีกำหนดการประชุมรอบถัดไปในวันที่ 19 กันยายน 2561
# ผลกระทบ: เป็นไปตามคาด ภาวะเงินเฟ้อไทยยังไม่น่ากังวล แต่แนวโน้มดอกเบี้ยไทยเป็นขาขึ้น จากแรงกดดันต่างประเทศ ที่ดอกเบี้ยปรับขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น เป็นบวกกับกลุ่มธนาคาร แต่เป็นลบกับกลุ่มเช่าซื้อ
+/- สัปดาห์นี้ติดตามการประกาศงบกลุ่มพลังงาน ที่มี market cap สูงสุด
# สัปดาห์นี้จะมีหุ้นกลุ่มพลังงานจะทยอยประกาศผลประกอบการออกมา ทั้งกลุ่ม PTT และกลุ่มโรงกลั่น ซึ่งถ้าหากผลประกอบการของกลุ่มดังกล่าวออกมาสูงหรือตํ่ากว่าที่ตลาดคาดไว้ ก็จะเป็นผลบวกหรือลบ ทำให้ตลาดมีความผันผวนต่อไปได้ แต่ในระยะสั้นหลังประกาศงบการเงิน IVL และ TOP กลับมีแรงขายเมื่อมีข่าวจริง (Sell on Fact)
+ บริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินงานในประเทศไทยมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเพิ่มขึ้น
# หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCCB) เผยว่า บริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินงานในประเทศไทยมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเพิ่มขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์และได้ส่งผลในด้านบวกไปยังอุตสาหกรรมในภาคอื่น
ข่าวเด่น