Market summary
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา SET เผชิญกับแรงขายทำกำไร โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย มีแรงขายเด่นใน CPALL, CPF, WORK ภายหลังรายงานผลประกอบการออกมาต่ำกว่าตลาดคาด และกลุ่มพลังงานอย่าง PTT, PTTEP, BANPU ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,705.9 จุด (-16.5 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 4.7 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยเป็นวันที่ 10 ติดต่อกันที่ 272 ล้านบาท (นักลงทุนสถาบันพลิกกลับมาขายสูงกว่า 5,068 ล้านบาท ) แต่ยังคงเปิดสถานะ Short SET50 index future ที่ 477 สัญญา
Investment theme
Trump เชือดไก่(งวง)ให้ลิงดู : เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาปธน.สหรัฐประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมจากประเทศตุรกี (ขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 17 ของโลก) เพิ่มเป็น 50% และ 20% ตามลำดับ เป็นผลให้ค่าเงิน Lira อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐลงเป็นประวัติการณ์ที่ 7.3 (จากระดับ 3.8 เมื่อช่วงต้นปี) และ Bond yield 10 ปี พุ่งแตะระดับ 20.6% ประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลต่อ วิกฤตเศรษฐกิจและการเงิน เนื่องจากปัจจุบันประเทศตุรกีมีหนี้เป็นสกุลเงินต่างประเทศสูงกว่า 50% ของ GDP ในขณะที่การพยายามเพิ่มดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อและการไหลออกของเงินทุนดูจะไม่ได้ผล โดยล่าสุดดอกเบี้ยและเงินเฟ้อพุ่งสูงกว่า 15-17.75% ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงกว่า 6.4% ของ GDP ในปีนี้ การอ่อนค่าของ Lira และ Bondyield ในระดับ 20% ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อการชำระหนี้ ซึ่งปัจจุบันหลายธนาคารในยุโรป เช่น สเปน, ฝรั่งเศสและอิตาลี เป็นเจ้าหนี้รวมมากกว่า 1.0 แสนล้านเหรียญสหรัฐ อีกทั้งเป็น Sentiment ลบจากการอ่อนค่าของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่เมื่อเทียบกับดอลลาร์ (ล่าสุด MSCI EM Currency อ่อนค่าทำระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือน) สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ คาดส่งผลลบต่ออินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ (Twin deficit) แต่จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างรวมถึงประเทศไทยสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น
Investment Theme: ในช่วงครึ่งเดือนหลังของสิงหาคม เริ่มมีปัจจัยต่างประเทศกดดันการลงทุนมากขึ้น ทั้งประเด็นความเสี่ยง Geopoliticalจากอิหร่าน สงครามการค้าสหรัฐ-จีน และผลกระทบของเศรษฐกิจตุรกี ที่คาดส่งผลต่อค่าเงินในภูมิภาค ส่งผลให้เรานะนักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน โดยมองกรอบ SET ในช่วงครึ่งเดือนหลังที่บริเวณ 1,680-1,705 จุด แนะนักลงทุนถือเงินสด 40% และทยอยสะสมหุ้น Domestic ที่คาดได้รับผลกระทบจากหลายความเสี่ยงอย่างจำกัด นำโดย BEM, STEC, CHG, BJC
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – Dollar กลับมาแข็งค่าอีกครั้งที่ 96.4 / ยุโรปไม่เห็นด้วยกับสหรัฐในการคว่ำบาตรอิหร่าน / ตุรกีเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ / Brent ชะลอตัวที่ 72.8
Stock pick : STEC
STEC : ทยอยสะสม 25.0 บาท/หุ้น
บริษัทรายงานกำไร 2Q18 สูงกว่าที่ตลาดคาด 22% ที่ 305 ล้านบาท เติบโต 25%YoY, + 5%QoQ สนับสนุนจากยอดรับรู้รายได้สูงกว่า 5,677 ล้านบาท สูงขึ้น 29%YoY จากโครงการรถไฟรางคู่ และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าที่ผู้บริหารและเราคาดไว้ที่ 7.7% ในขณะที่สามารถคุมค่าใช้จ่ายได้ดี โดยSG&A ลดลง 14%YoY ที่ 115 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมี Backlog สูงกว่า 1.2 แสนล้านล้านบาท โดยปีนี้รับงานใกล้เป้าทั้งระดับ 3.0 หมื่นล้านบาท +/- ถือเป็น Upside ต่อประมาณการในอนาคต ในขณะที่เราคาดผลประกอบการในครึ่งปีหลังเติบโตขึ้นอีกจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง เป็นผลให้เราปรับประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น 24% เป็น 1,240 ล้านบาท คงคำแนะนำ ซื้อ ราคา 25.0 บาท/หุ้น
Technical View
ปิดหลุด EMA200Day คาดอ่อนตัวทดสอบ 1690//1680: ดัชนีแกว่ง Sideway Down ตลอดทั้งวัน จากแรงขายหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและพลังงาน ทำให้ขณะนี้ดัชนีกลับมาปิดหลุดแนวรับเส้น EMA200Day อีกครั้ง ระยะสั้นจึงมองว่าดัชนีมีโอกาสอ่อนตัวลงต่อ มองแนวรับถัดไปที่ 1690 และ 1680 ตามลำดับ หากแนวรับดังกล่าวยังต้านแรงขายได้ ระยะยาวยังมองว่ายังเป็นขาขึ้น จังหวะอ่อนตัวไม่แนะนำให้รีบเข้าซื้อหุ้น แนะนำเพียงรอจนกว่าจะมีสัญญาณหยุดลงที่ชัดเจนที่แนวรับ กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น : ดัชนีหลุด 1707 ต้อง Lock Profit รอบนี้ ตามคำแนะนำก่อนหน้านี้ หากยังมีหุ้นอยู่ใช้ 1700 ในการขายทำกำไรหรือ Stop Loss 2) ไม่มีหุ้น : แนะนำเพียงรอดูแนวโน้มจนกว่าจะมีสัญญาณหยุดลงที่ชัดเจนที่แนวรับ
แนวรับ : 1680, 1690 แนวต้าน : 1710, 1715
Keep an eye on...
ปัจจัยต่างประเทศ: 14 ส.ค. เยอรมันรายงาน GDP ไตรมาส 2
ปัจจัยในประเทศ: : -
หุ้นเทคนิค:
TRUE (B 6.40-6.50, Tp 6.80//7.00, Cut 6.30)
KBANK (B 214.00, Tp 225.00, Cut 210.00)
ข่าวเด่น