Market summary
เมื่อวานที่ผ่านมา SET เผชิญกับแรงขายทำกำไรตามภูมิภาค โดยมีแรงขายเด่นในกลุ่มค้าปลีกอย่าง CPALL, BJC กลุ่ม ICT นำโดย ADVANC, TRUE และกลุ่มธนาคาร KBANK, SCB, BBL อย่างไรก็ตามมีแรงซื้อเด่นใน BEAUTY, CPF ภายหลังรายงานผลประกอบการออกมาดี ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,695.3 จุด (-10.6 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.4 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.5 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายหุ้นไทยครั้งแรกในรอบ 10 วัน ที่ 2,146ล้านบาท (นักลงทุนสถบันขายสุทธิต่อที่ 2,019 ล้านบาท ) แต่ยังคงเปิดสถานะ Short SET50 index future ที่ 14,657 สัญญา
Investment theme
ตลาดหุ้น Emerging market ได้รับผลกระทบผ่านการอ่อนค่าของเงิน อย่างไรก็ตามในแง่เศรษฐกิจและการเงินประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี : หลายประเทศในตลาดเกิดใหม่เริ่มเผชิญกับปัญหารายประเทศ เริ่มต้นจากหลายประเทศมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการค้า (Twin deficit) ส่งผลให้มีการกู้ยืมเงินเป็นสกุลต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และภายหลัง Trump เริ่มขู่โดยออกมาตรการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากนานาประเทศ เพื่อต้องการลดยอดขาดดุลการค้าที่สูงกว่า 5.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ขาดดุลจีนสูงกว่า 3.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่ามากกว่า 6.8% จากเมื่อช่วงต้นไตรมาสที่ผ่านมา นับเป็นหนึ่งในเหตุสนับสนุนให้ค่าเงินหลายประเทศโดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่อ่อนค่านำโดย Lira, Peso, Ruble, Rupiah, Yuan รวมถึงค่าเงินบาท โดยเฉพาะประเทศที่เกิด Twin deficit จะได้รับผลกระทบของ Capital outflow ที่สูง เราแนะนักลงทุนจับตาค่าเงินหยวน หากเกินระดับ 7.0หยวน/ดอลลาร์ ในระยะสั้นอาจกดดันการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในตลาด EM
Investment Theme: ในช่วงครึ่งเดือนหลังของสิงหาคม เริ่มมีปัจจัยต่างประเทศกดดันการลงทุนมากขึ้น ทั้งประเด็นความเสี่ยง Geopoliticalจากอิหร่าน สงครามการค้าสหรัฐ-จีน และผลกระทบของเศรษฐกิจตุรกี ที่คาดส่งผลต่อค่าเงินในภูมิภาค ส่งผลให้เราแนะนักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน โดยมองกรอบ SET ในช่วงครึ่งเดือนหลังที่บริเวณ 1,680-1,705 จุด แนะนักลงทุนถือเงินสด 40% และทยอยสะสมหุ้น Domestic ที่คาดได้รับผลกระทบจากหลายความเสี่ยงอย่างจำกัด นำโดย BEM, STEC, CHG, BJC
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – จีนรายงานการผลิตอุตสาหกรรมเดือนก.ค.เติบโตกว่า 6%YoY / Lira กลับมาแข็งค่าที่ 6.4 จากระดับ 7.0 เมื่อวานที่ผ่านมา
Stock pick : BJC
BJC : ทยอยสะสม 68.0 บาท/หุ้น
บริษัทรายงานกำไร 2Q18 สูงกว่าคาดที่ 1,396 ล้านบาท (+40%YoY,-3%QoQ) ส่วนหนึ่งเกิดจาก FX แต่หากนับเฉพาะ Core พบว่ากำไรเติบโตเด่นเมื่อเทียบกับกลุ่มค้าปลีกที่ 32% YoY ที่ 1,316 ล้านบาท สนับสนุนจากยอดขายเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ และ Margin(%) เติบโตดี ในขณะที่ SSSG(%) ของ BIGC ติดลบลดลงเหลือ 0.5% เทียบกับ 2Q17 ที่ลบมากถึง 15.2%
คาด BJC จะเป็นหนึ่งในบริษัทค้าปลีกที่มีโอกาสกำไร 3Q18 ทั้ง YoY, QoQ (คาดบริษัทอื่นในกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลงจาก Seasonal) ส่วนหนึ่งเกิดจากกลับรายการสำรองค่าเสียหายใน BIGC ในขณะที่ 4Q บริษัทจะได้ประโยชน์จากการขยายกำลังการผลิตขวดเพิ่มอีก 13% เป็น 3,435 ตัน/วัน
Trading idea – ทยอยสะสมกลุ่ม Domestic นำโดย STEC, CHG, BEM และ TPIPP
Technical View
เกิด Hammer ที่แนวรับ มองกรอบการแกว่ง 1680-1705: แรงขายหลักในหุ้นกลุ่มค้าปลีก สื่อสารและธนาคาร ทำให้ดัชนีปรับตัวลงแรงตั้งแต่ช่วงเช้า และปรับตัวลงสร้างฐานบริเวณ 1685 ในช่วงบ่ายเริ่มมีแรงซื้อกลับจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ทำให้มีแรงดีดตัวกลับจากโซนแนวรับ ระยะสั้นจึงมองกรอบการแกว่ง 1680-1706 (EMA200Day) พิจารณาการเทรดในกรอบดังกล่าวเป็นหลัก แต่หากยืนเหนือ 1706 ได้ระยะกลางจะกลับมาดูดีขึ้น กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น : พิจารณากรอบ 1680-1706 ในการเทรดเพื่อเล่นรอบ หากยืนเหนือ 1706 เน้น Let Profit แต่หากหลุด 1680 แนะนำ Stop Loss 2) ไม่มีหุ้น : หากไม่หลุด 1680 พิจาราณาซื้อหุ้นตามแนวรับ เพื่อเทรดในกรอบ 1680-1706
แนวรับ : 1680, 1690 แนวต้าน : 1706, 1715
Keep an eye on…
ปัจจัยต่างประเทศ: 14 ส.ค. เยอรมันรายงาน GDP ไตรมาส 2
ปัจจัยในประเทศ: : -
หุ้นเทคนิค:
PTT (B 51.00-51.50, Tp 53.00//55.00, Cut 50.00)
TOP (B 79.50, Tp 83.00, Cut 78.00)
ข่าวเด่น