กลยุทธ์วันนี้ >> Selective Buy//Accumulate on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นได้ตามคาดและปิดบวกได้ราว 9 จุด ณ สิ้นวันจากบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายขึ้นหลังสหรัฐ-จีนเตรียมตั้งโต๊ะเจรจาการค้ารอบใหม่ โดยแรงซื้อส่วนใหญ่ยังคงมาจากสถาบันในประเทศกว่า 3.6 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องอีก 743 ลบ.สอดคล้องกับกระแสเงินทุนที่ยังไหลออกจากภูมิภาคในระยะนี้
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET Index จะยังแกว่งตัว Sideways to Sideways Up จากความคาดหวังการเจรจาระหว่างคณะทำงานของสหรัฐฯและจีนในการคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า ขณะที่ปัจจัยในประเทศต้องติดตามตัวเลข GDP 2Q18 ซึ่งมีโอกาสออกมาสูงกว่าตลาดคาดที่ 4% อย่างไรก็ตามเรายังมองกรอบการบวกของดัชนียังไม่กว้างนักและคาดว่าหุ้นที่ยังมีประเด็นบวกเฉพาะตัว แนวโน้มกำไร 2H18 ยังดี รวมถึงยัง Laggard ตลาดน่าจะสามารถ Outperform ได้
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นที่ยังมีประเด็นบวกและยัง Laggard //ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานคืนในช่วงตลาดพักตัว
หุ้นเด่นเดือนส.ค. : BJC, BKD, INTUCH, RS, SC
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$148ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$263ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$22ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$152ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคก่อนการเจรจาทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์นี้ทางการค้า
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> INTUCH <<
- แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 67.50 บาท
- ราคาหุ้นจะกลับมาเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานได้ดีขึ้น หลังจากผ่านพ้นช่วงประมูลคลื่น 1800 MHz ของ ADVANC ซึ่งการได้เพิ่มอีก 5 MHz ในราคาที่แทบจะเป็นราคาตั้งแต้น ไม่ได้เป็นภาระต่อฐานะทางการเงินมากนัก
- ในเชิง Valuation ยังน่าสนใจ จากราคาหุ้นที่ Discount NAV ของ ADVANC มากถึง 25% และให้ปันผลเฉลี่ยสูงถึง 5% ต่อปี
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) กำไรปกติ 2Q18 ของหุ้นใน FSS coverage ฟื้นดีขึ้นเป็น 215,303 ลบ. +25% Y-Y เป็นอัตราการเติบโตที่เร่งตัวที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส และทรงตัว Q-Q ซึ่งถือว่าดีเพราะ 2Q เป็น low season ของหลายธุรกิจ แม้จะเติบโตดีแต่กำไร 2Q18 ไม่ได้สร้าง surprise ให้เรา โดยหุ้นที่กำไรสูงกว่าคาดมี 24% และต่ำกว่าคาดมี 20% เราจึงยังคง SET Target ปีนี้ที่ 1750 จุด ขณะที่ ผลของสงครามการค้าเริ่มชัดเจน และทำให้ค่าเงินเอเชียอ่อนค่า อีกทั้งสภาพคล่องโลกที่จะลดลงมากในปีหน้า ทำให้ Flow ยังไม่น่าไหลเข้า แต่ด้วย Fundamental ของไทยที่แข็งแกร่ง สภาพคล่องในประเทศมีสูง การเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวจึงยังทำได้ เราแนะนำกลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, CHG) กลุ่มโรงแรม (MINT, ERW) กลุ่มอิเล็กทรอนิคส์ (KCE, SVI) กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, THANI) กลุ่มค้าปลีก (CPALL, ROBINS, HMPRO) และกลุ่มแบงก์ (KBANK)
(0) กลุ่มสื่อสารฯ ผลการประมูลคลื่น 1800 MHz เป็นไปตามคาด โดย ADVANC และ DTAC ได้ไปคนละ 1 ใบอนุญาต (คนละ 5 MHz) ด้วยราคา 12,511 ลบ. สูงกว่าราคาตั้งต้นเพียง 25 ลบ. โดยเคาะเพิ่มคนละ 1 ครั้งเท่านั้น โดย ADVANC จะมีคลื่น 1800 MHz ทั้งหมด 20 MHz ซึ่งเต็มประสิทธิภาพ 4G สูงสุดต่อ 1 Carrier ส่วน DTAC การได้คลื่น 1800 MHz จะทำให้สามารถให้บริการโครงข่าย 2G และ 4G ต่อไปได้ รวมถึงคาดว่าจะสามารถให้บริการต่อในช่วงระยะเวลาเยียวยาหลังหมดสัมปทานจากสทช. เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ทั้ง ADVANC (ราคาเหมาะสม 220 บาท) และ DTAC (ราคาเหมาะสม 52 บาท)
(+) TOP โทนจากการประชุมนักวิเคราะห์ปลายสัปดาห์ก่อนเป็นบวก จาก Market GIM ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น จาก (1) โรงกลั่นมี GRM ปรับขึ้นเด่นจากฤดูซ่อมบำรุงโรงกลั่นในอเมริกา และ (2) อโรมาติกส์ โดยเฉพาะ Px Spread มีสัญญาณฟื้นตัวในระยะสั้นจาก Supply ใหม่ที่มาช้ากว่าที่คาด นอกจากนี้ปริมาณการกลันใน 3Q18 จะกลับมาปกติ หลังจากปิดซ่อมโรง CDU ไป 1 ไตรมาส ขณะที่ Crude Premium จะลดลง แต่จะไม่มี Stock gain แต่ด้วย Upside ที่เหลือน้อยเมื่อเทียบกับ ราคาเป้าหมาย 88 บาท จึงคงคำแนะนำถือ
(-) CENTEL การประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันศุกร์โทนค่อนไปในเชิงลบ แนวโน้มกำไร 3Q18 คาดว่ายังไม่โดดเด่นจากธุรกิจโรงแรมที่ยังถ่วง ขณะที่แนวโน้มการเติบโตในปี 2019 คาดว่าจะท้าทายและจำกัดมากขึ้นเนื่องจาก 2 โรงแรมหลักที่สมุยและ CTW จะมีการปิด Renovation รวมถึงการต่อสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟที่หัวหิน ส่งผลให้เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2018-2019 ลง 8-13% โดยคาดเติบโต 8.9% Y-Y ในปีนี้และชะลอลงเหลือเพียง 4.3% ในปี 2019 ส่งผลให้ราคาเหมาะสมถูกปรับลงเหลือ 45 บาท และเราลดคำแนะนำลงเป็น “ถือ”
(+) CMAN เรากลับมาจัดทำบทวิเคราะห์ CMAN และเริ่มต้นด้วยคำแนะนำซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2018 ได้เท่ากับ 3.80 บาท ความน่าสนใจในการลงทุนอยู่ที่อัตราการเติบโตที่สูงและ Valuation ที่ไม่แพง โดยเราคาดกำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 86% Y-Y อยู่ที่ 204 ลบ. จาก (1) ยอดขายปูนไลม์ยังสูงตามความต้องการของโรงงานน้ำตาล (2) ได้ผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาท (3) อัตรากำไรขั้นต้นจะเร่งตัวขึ้น จากการโยกกำลังการผลิตไปโรงงานใหม่ (4) ดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากการ Refinance หนี้ ขณะที่ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายใกล้มูลค่าทางบัญชี และคิดเป็น PE2018-19 เพียง 12-15 เท่า อีกทั้งยังมีปันผลในระดับที่ดีราว 3-4% ต่อปี
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
20 ส.ค.
|
- ไทย: 2Q18 GDP
|
21 ส.ค.
|
- ไทย: ดุลการค้า (ก.ค.)
|
22 ส.ค.
|
- ตลาดหุ้นหลายแห่งปิดทำการเนื่องในวันฮารีรายอ เช่น สิงคโปร์ม มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, อินเดีย
|
23 ส.ค.
|
- Flash PMI ภาคการผลิต (ส.ค.)
|
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่มขึ้นหลังจากทางการจีนยืนยันว่าจะส่งตัวแทนไปเจรจากับสหรัฐเพื่อหาทางยุติสงครามทางการค้า นอกจากนี้ กลุ่มห้างสรรพสินค้ายังช่วยหนุนตลาดหลังประกาศผลประกอบการออกมาได้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเอาไว้
(-) ตลาดหุ้นยุโรปยังปรับตัวลงจากความกังวลเรื่องหนี้สินของตุรกีที่อาจลุกลามไปยังธนาคารใหญ่ๆในยุโรป เช่น อิตาลี
(0) ตลาดเอเชียปรับตัวผสมผสาน แม้ว่าความกังวลเรื่องสงครามการค้าจะน้อยลงก็ตาม
(0) ค่าเงินบาทยังทรงตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณ 33.10-33.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 0.45 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 65.91 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความคาดหวังว่าสหรัฐและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันได้
(-) ค่าการกลั่นสิงคโปร์ลดลง 0.64 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 7.27 ดอลลาร์/บาร์เรล
() ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 0.20 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1184.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อย
ข่าวเด่น