ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+/-) ตลาดต่างประเทศ DJIA +63.60, NASDAQ +38.17, S&P +5.91, FTSE -25.56, CAC +28.95 และ DAX +53.19
ยังคงมีมุมมองบวกต่อการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีน ในวันที่ 22 – 23/8/61 ซึ่งในวันที่ 23/8/61 เป็นวันที่สหรัฐฯ และจีน ต่างใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าซึ่งกันและกัน ในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านUSD ขณะที่จะมีการประชุมสุดยอดระหว่างปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิง ในเดือนพ.ย. นี้
และยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 จากการคาดการณ์ว่า อุปทานน้ำมันโลกจะประสบภาวะตึงตัวหลังจากสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน
ขณะที่อยู่ระหว่างติดตาม (1) รายงานการประชุมเฟด ประจำวันที่ 31/7/61 – 1/8/61 และ (2) การประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 23-25 ส.ค.นี้ โดยหัวข้อการประชุมในปีนี้ คือ "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด และสิ่งบ่งชี้สำหรับทิศทางนโยบายการเงิน"
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ก.ย. +US$0.92 อยู่ที่ US$67.35 ต่อบาร์เรล ภายใต้คาดการณ์ว่า ตลาดน้ำมันโลกจะเผชิญภาวะตึงตัวหลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งให้ใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งถือเป็นมาตรการรอบแรก ก่อนที่สหรัฐฯ จะออกมาตรการคว่ำบาตรรอบ 2 ในเดือนพ.ย. ที่มีเป้าหมายไปยัง
การทำธุรกรรมของธนาคารกลาง การส่งออกน้ำมัน และการขนส่งสินค้าทางเรือของอิหร่าน
ขณะที่คาดว่ามาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน จะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดลดลงราว 600,000 - 1,500,000 บาร์เรล และยังติดตามการเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ข้างต้น
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ธ.ค. +US$5.4 อยู่ที่ US$1,200.0 ต่อออนซ์ ภายใต้เงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการเงินของเฟด
(-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -3,605 ล้านบาท ยอดสะสม -193,252 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท และปี’60 ขายสุทธิสะสม 25,755 ล้านบาท)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 22 ส.ค.’61
22/8/61 สหรัฐฯ เปิดเผย
(1) ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.
(2) สต็อกน้ำมัน
(1) เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อ 31/7/61 – 1/8/61
ทิศทางตลาด
ผันผวน? ภายใต้ประเด็นต่างประเทศที่คาดอยู่ระหว่างติดตามและรอความชัดเจน (1) การเจรจาเพื่อลดข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในวันที่ 22 – 23/8/61 ซึ่งหากสามารถเจรจาต่อรองสำเร็จและมีความชัดเจนก่อนวันที่ 23/8/61 นี้ (สหรัฐฯ และจีนต่างเรียกเก็บภาษีนำเข้าของทั้ง 2 ประเทศ อัตรา 25% วงเงิน 16,000 ล้านUSD) คาดเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมตลาดต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามคาดยังมีความไม่แน่นอนเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในครั้งที่ผ่านมา หลังไม่สามารถต่อรองกันได้ ทำให้มีข้อพิพาททางการค้าเพิ่มขึ้น เช่น จีนยังพร้อมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ วงเงิน 60,000 ล้านUSD อัตราภาษี 5 – 25% ต่อสินค้าสหรัฐฯ 5,207 รายการ หากสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 200,000 ล้านUSD
และ (2) การประชุมประจำปีของเฟด 23 – 25/8/61 ที่เมืองแจ๊กสัน โฮล “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด และสิ่งบ่งชี้สำหรับทิศทางนโยบายการเงิน” ขณะที่คาดเฟดพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีก 2 ครั้งปีนี้ คาดเกิดขึ้น ก.ย. และ ธ.ค. รวมเป็นทั้งหมด 4 ครั้งในปีนี้ ตามการส่งสัญญาณต่อเนื่องของเฟดก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามได้รับปัจจัยกดดันหลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความคิดเห็นต่อนโยบายของเฟด โดยเฉพาะประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลต่อเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลง
ทางด้านหุ้นกลุ่มพลังงาน คาดมีแรงเก็งกำไรกลับมา ตามราคาน้ำมันที่ยังคงยืนได้ในระดับสูง ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 71 - 72 USD/bbl ส่งผลดีต่อ PTT และ PTTEP พร้อมคาดภาพรวมราคาน้ำมัน ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกของซาอุดิอาระเบียที่ลดลงในเดือนนี้ และคาดสต็อกน้ำมันในตลาดโลกในไตรมาส 3 มีแนวโน้มลดลง จากความต้องการใช้น้ำมันจำนวนมาก รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรรอบ 2 ในเดือน พ.ย. ของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน คาดทำให้การผลิตน้ำมันของอิหร่านลดลง มากกว่า 1.0 ล้านบาร์เรล ในไตรมาส 4 นี้
ทางด้านประเด็นในประเทศ คาดในระยะสั้นยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ๆ แต่ Sentiment ในระยะกลาง – ยาว ยังเป็นบวก (1) ทิศทางการเติบโตเศรษฐกิจ หลังตัวเลข GDP – 2Q/61 อยู่ที่ 4.6% ดีกว่าคาด ขณะที่เป้าหมายทั้งปี’61 อยู่ในระดับ 4.4 – 4.5% (2) ความชัดเจนระยะเวลาการเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ภายใต้ Road Map เดิม เบื้องต้นคาดมีการเลือกตั้งในวันที่ 24/2/61 คาดช่วยให้ความเชื่อมั่นลงทุนดีขึ้นตามลำดับ
แต่ (-) Fund Flow หลังต่างชาติขายสุทธิ ล่าสุด 3,605 ล้านบาท และทำให้ YTD ยอดขายสุทธิสะสมกลับขึ้นไปสู่ระดับสูงกว่า 193,000 ล้านบาท
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจไทย เช่น BBL, KTB
(3) กลุ่มพลังงาน ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง เช่น PTT, PTTEP และค่าการกลั่นฟื้นตัว เช่น TOP, SPRC
(4) กลุ่มขนส่ง ค่าระวางเรือในระดับสูง ส่งผลดีต่อ PSL
(5) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการ EEC คาดได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.02 อยู่ที่ 2.84% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.37 อยู่ที่ 12.86
หุ้นแนะนำ : PTTEP
ข่าวเด่น