กลยุทธ์วันนี้ >> Domestic Play//Accumulate on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัวในแดนบวกได้ตามคาดนำโดยหุ้นขนาดใหญ่กระจายตัวในหลายกลุ่ม อย่างไรก็ตามดัชนีปิดบวกได้ 6.50 จุด ณ สิ้นซึ่งถือว่าไม่ได้กว้างนัก สถาบันในประเทศยังเป็นฝ่ายซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 1.5 พันลบ. ส่วนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเพียงเล็กน้อย (และเริ่มพลิกมา Short ใน Index Futures ราว 4.1 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET Index จะแกว่ง Sideways พักตัวเนื่องจากไร้ปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น โดยการเจรจาการค้าระหว่างคณะทำงานของสหรัฐฯ-จีนยังไม่มีพัฒนาการที่ชัดเจน รวมถึงความมั่นคงในตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ขณะที่ยังต้องจับตาสุนทรพจน์ของประธาน FED ที่แจ็คสันโฮลคืนนี้ในด้านมุมมองเศรษฐกิจและดำเนินนโยบายการเงิน อย่างไรก็ตามปัจจัยในประเทศสัปดาห์หน้าจะมีงาน Thailand Focus ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและมีโอกาสที่กระแสเงินทุนจะไหลเข้าและหนุนดัชนีให้ปรับขึ้นในระยะถัดไป
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้น Domestic Play ที่ยัง Laggard//ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานในช่วงตลาดพักตัว
หุ้นเด่นเดือนส.ค. : BJC, BKD, INTUCH, RS, SC
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$324ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$193ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลเข้าเล็กน้อย 0.1 ล้าน ขณะที่ไหลออกจากเวียดนาม US$5ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคเนื่องจากความวิตกกังวลต่อสงครามการค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่จับตาการประชุมประจำปีของ Fed ในสุดสัปดาห์นี้เพื่อติดตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> PRM <<
- แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 9 บาท
- แนวโน้ม 2H18 จะโดดเด่นจาก (1) การรวมธุรกิจกับ Big Sea ทำให้กำไรสุทธิรายไตรมาสเพิ่มขึ้นจากเดิม 15% (2) ธุรกิจที่เคยถ่วงทั้ง Oversea และ FSU กลับมาทำกำไรหมดแล้ว (3) ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อน และการลงทุนของกลุ่มพลังงานที่กำลังกลับมา เราคาดกำไรทั้งปี 820 ลบ. +14% Y-Y
- PE2018-19 เพียง 18-22 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 33 เท่า ทั้งที่สามารถสร้าง ROE ได้สูง 14% มากกว่าภูมิภาคที่ทำได้เพียง 7%
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) Thailand Focus 2018 ครั้งนี้จัดขึ้นระหว่าง 29-31 ส.ค. 18 ภายใต้ธีม The Future is Now เน้นประเด็น EEC in Action และ Retail Business Revolution ถ้าอิงผลของการจัดงานในอดีตตั้งแต่ปี 2007 ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 10 เรายังไม่พบผลกระทบที่มีต่อ SET Index ในช่วงก่อนจัดงาน แต่สำหรับหลังจัดงานไปแล้ว SET มักตอบรับเชิงบวก โดยปรับขึ้นเฉลี่ย 1.7% และ 3.9% ในช่วง 10 และ 15 วันหลังจากงานตามลำดับ ที่ระดับความน่าจะเป็นในการให้ผลตอบแทนเป็นบวกเท่ากันคือ 75%
(+) BCH แนวโน้มการเติบโตของกำไร 3Q18 คาดว่ายังดีจากอานิสงส์ของ High Season และมีปัจจัยหนุนจากการบันทึกรายได้ส่วนเพิ่มในฝั่งค่าภาระเสี่ยงของประกันสังคม ภาพรวมกำไร 2H18 ต่อเนื่องปี 2019 ยังแข็งแกร่ง โดยยังไม่มีแรงกดดันจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่และได้แรงหนุนจากการตรวจสุขภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาของภาครัฐ เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกตีปี 2018-2020 ขึ้น 6-10% สะท้อนการเติบโตในช่วง 1H18 ที่เด่นกว่าคาดและปรับเพิ่มราคาเหมาะสมปี 2018 ขึ้นเป็น 19.20 บาท อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 20% QTD ซึ่งสะท้อนปัจจัยบวกไปมากพอสมควร เราจึงปรับคำแนะนำลงจากเดิมซื้อ เป็นซื้อเก็งกำไร
(+) SVI ข้อมูลจากประชุมวานนี้โทนบวกมาก ผู้บริหารให้ภาพคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่งใน 2H18 และต่อเนื่องไปในปี 2019 โดยปรับเป้ารายได้ในปี 2018 ขึ้น 9% เป็น US$480 ล้าน และจะโตต่อเนื่องเป็น US$640 ล้านในปี 2019 ส่วนปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบคลี่คลายลงไปมากจนเกือบปกติ และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นกลับสู่ระดับที่เคยทำได้ 9% - 10% ด้วยสถานการณ์ที่กลับมาเอื้อต่อการทำธุรกิจอีกครั้ง และดีกว่าเดิมที่เราเคยคาด เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 – 2019 ขึ้น 12% และ 15% เป็น 736 ลบ. +50% Y-Y และ 885 ลบ. +20% Y-Y ตามลำดับ และปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2019 ที่ 6.6 บาท แนะนำซื้อ
(0) PCSGH เราปรับลดประมาณการในระยะยาวลง จากการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มากกว่าคาด ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการรวมโรงงานในยุโรปที่ยังไม่สามารถลดต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายได้ในทันที ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2018 ตามวิธี DCF ลดลงจาก 13 บาท เหลือ 11 บาท แต่ด้วยธุรกิจในไทยยังอยู่ในโมเมนตัมที่ดี กำลังการผลิตอยู่ในระดับสูงราว 85% และมีการควบคุมต้นทุน รวมถึงการเพิ่มสินค้าในกลุ่มอัตรากำไรขั้นต้นสูงเข้ามาต่อเนื่อง อีกทั้ง ต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะอะลูมีเนียมที่ลดลง ยังทำให้ Yield การผลิตเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งเมื่อผนวกกับฐาน 2H17 ที่ต่ำ ทำให้เราคาดว่าผลประกอบการ 2H18 จะออกมาดีกว่ากลุ่ม เราจึงยังคงคำแนะนำซื้อ
(0) PT ผู้บริหารยังคาดว่าผลประกอบการ 2H18 ยังอยู่ในโมเมนตัมที่ดี จาก High Season ของการเร่งปิดงานด้านไอที และงานในมือที่ทรงตัวในระดับสูงราว 800 ลบ. ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดในปีนี้ โดยส่วนใหญ่ยังเป็นงานจากกลุ่มสถาบันการเงิน แม้ว่าการแข่งขันจะสูงขึ้น ซึ่งอาจกดดันอัตรากำไรขั้นต้น แต่จะชดเชยได้จากมูลค่างานที่มากขึ้น เรายังคงคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปีที่ 315 ลบ. +10% Y-Y ราคาปัจจุบันคิดเป็น PE2018-19 เพียง 8-9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 12 เท่า และให้ปันผลสูง 6% ต่อปี จึงยังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 8.80 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
24 ส.ค.
|
- ญีปุ่น: อัตราเงินเฟ้อ (ก.ค.)
|
23-25 ส.ค.
|
- ประชุมประจำปีของเฟดที่แจ็กสัน โฮล
|
28 ส.ค.
|
- ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ส.ค.)
|
29 ส.ค.
|
- สหรัฐฯ: 2Q18 GDP (ครั้งที่ 2)
|
29-31 ส.ค.
|
- ไทย: Thailand Focus 2018
|
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐลดลง หลังจากการเจรจาเรื่องสงครามทางการค้ายังไม่มีความคืบหน้า โดยล่าสุด ทางการจีนประกาศว่าการเจรจาจะยังไม่มีข้อยุติจนกว่าจะผ่านพ้นช่วงเลือกตั้งของสหรัฐตอนปลายปี
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง หลังมีข่าวว่าอังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลงใดๆทั้งสิ้น (Brexit with no deal)
(0) ตลาดเอเชียเช้านี้ปรับตัวผสมผสาน จากทั้งเรื่องสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ยังดำเนินต่อไป และประเด็นทางการเมืองในออสเตรเลียเองที่ยังคลุมเครือ
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ 32.85 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ต.ค. ลดลง 0.03 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 67.83 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังดอลลาร์สหรัฐพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น
(-) ค่าการกลั่นสิงคโปร์ลดลง 0.49 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 6.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
() ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. ลดลง 9.30 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1194.00 ดอลลาร์/ออนซ์
ข่าวเด่น