ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน คาดเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ (28/08/61)


 ทิศทางตลาด

ยังมีโอกาสปรับขึ้น? คาดเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ หลังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงทวิภาคีกับ Mexico ซึ่งคาดเป็นสัญญาณที่ดีต่อการปรับปรุงข้อตกลง NAFTA (รวมถึงแคนาดา) จากก่อนหน้าสหรัฐฯ ระบุว่าเสียเปรียบต่อข้อตกลงดังกล่าว
ส่วนเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีน เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา  แม้ยังไม่มีความชัดเจน และคาดยังคงมีความกังวลต่อประเด็นการทำสงครามการค้ารอบใหม่ แต่คาดตลาดสะท้อนต่อประเด็นดังกล่าวไปบ้างแล้ว คาดการเจรจาอาจต้องใช้ระยะเวลาระดับหนึ่ง โดยการเจรจาการค้ารอบใหม่จะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนหน้า หลังทั้ง 2 ประเทศ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ในวงเงิน 5 หมื่นล้านUSD ไปแล้ว

พร้อมคาดยังได้รับปัจจัยบวกต่อประเด็นความเชื่อมั่นของประธานเฟดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทั้งการจ้างงานและเงินเฟ้อ ที่อยู่ในเป้าหมายของเฟด ทำให้คาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากนัก ขณะที่คาดเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. (25 – 26/9/61)  เป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ พร้อมคาดจะเกิดขึ้นอีก 1 ครั้ง ในเดือน ธ.ค. ทำให้คาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้ง ในปี’61 ขณะที่คาดเป็นประเด็นที่ตลาดสะท้อนไปบ้างแล้ว

เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มพลังงาน คาดยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ยังคงยืนได้ในระดับสูง ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 74 - 75 USD/bbl ส่งผลดีต่อ PTT และ PTTEP พร้อมคาดภาพรวมราคาน้ำมัน ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกของซาอุดิอาระเบียที่ลดลงในเดือนนี้  และคาดสต็อกน้ำมันในตลาดโลกในไตรมาส 3 มีแนวโน้มลดลง จากความต้องการใช้น้ำมันจำนวนมาก รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรรอบ 2 ในเดือน พ.ย. ของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน คาดทำให้การผลิตน้ำมันของอิหร่านลดลง มากกว่า 1.0 ล้านบาร์เรล ในไตรมาส 4 นี้

ทางด้านประเด็นในประเทศ ยังไม่ม่ประเด็นชี้นำใหม่ๆ คาดในระยะสั้นได้รับปัจจัยหนุนเข้ามาบ้างจากงาน “Thailand Focus” ในสัปดาห์นี้ (29 – 31/8/61) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Domestic Play ที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความชัดเจนในการเลือกตั้งที่เป็นไปตาม Road Map เดิม 
ขณะที่คาดยังได้รับ Sentiment ลบจาก Fund Flow หลังต่างชาติกลับมาขายสุทธิต่อเนื่อง และทำให้ YTD ยอดขายสุทธิสะสมกลับขึ้นไปสู่ระดับสูงกว่า195,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในระยะกลาง – ยาว คาด Sentiment ยังเป็นบวก จาก  
(1) ทิศทางการเติบโตเศรษฐกิจ หลังตัวเลข GDP – 2Q/61 อยู่ที่ 4.6% ดีกว่าคาด ขณะที่เป้าหมายทั้งปี’61 อยู่ในระดับ 4.4 – 4.5% และ (2) ความชัดเจนระยะเวลาการเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ภายใต้ Road Map เดิม เบื้องต้นคาดมีการเลือกตั้งในวันที่ 24/2/62 คาดช่วยให้ความเชื่อมั่นลงทุนดีขึ้นตามลำดับ

SET

SET50

SET100

1,717.24 +13.42

1,137.79 +9.73

2,520.48 +21.94

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +259.29, NASDAQ +71.92, S&P +22.05, FTSE (ตลาดปิดทำการ), CAC +46.60 และ DAX +143.79
หลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงทวิภาคีกับเม็กซิโก ซึ่งจะปูทางไปสู่การปรับปรุงข้อตกลง NAFTA พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ และเม็กซิโกจะช่วยสนับสนุนเกษตรกรและผู้ผลิตของทั้ง 2 ประเทศ
และได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีน ส่งสัญญาณว่า กำลังใช้มาตรการเพื่อหนุนค่าเงินหยวน ซึ่งคาดว่าเป็นมาตรการที่จะช่วยผ่อนคลายความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยธนาคารกลางจีนระบุว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนส.ค. ธนาคารกลางได้เริ่มปรับวิธีการคำนวณค่ากลางหยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งจะ "ป้องกันปัจจัยผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ" (counter-cyclical factor) โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดการอ่อนค่าของสกุลเงินหยวน และทำให้ค่าเงินหยวนมีเสถียรภาพ

ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ต.ค. +US$0.15 อยู่ที่ US$68.87 ต่อบาร์เรล หลังกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เปิดเผยว่า ได้ปรับลดกำลังการผลิตมากกว่าในข้อตกลงราว 9% ในเดือนก.ค. หลังผลสำรวจก่อนหน้า ระบุว่า ประเทศผู้ผลิตน้ำมันได้ปรับลดกำลังการผลิตมากกว่าในข้อตกลงราว 20% และ 47% เมื่อเดือนมิ.ย. และพ.ค.ตามลำดับ 
โดยกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน รวมถึงกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มโอเปก ที่ได้ตกลงกันในวันที่ 22 - 23 มิ.ย. ในการปรับลดกำลังการผลิต 100% ตามข้อตกลงที่จะลดกำลังการผลิต 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน หลังก่อนหน้านี้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันได้ปรับลดกำลังการผลิตมากกว่าที่ตกลงกันไว้

P/E (เท่า)

P/BV (เท่า)

Dividend Yield (%)

17.08

1.95

2.93

ที่มา : www.set.or.th

มูลค่าการซื้อขาย

หน่วย (ลบ.)

มูลค่าการซื้อขาย

47,124.94

สถาบัน

+3,755.73

บัญชีหลักทรัพย์

+602.38

ต่างประเทศ

-584.97

ในประเทศ

-3,773.13

และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่ยังคงแข็งแกร่ง เช่น IVL เป็นต้น
(2) กลุ่มธนาคาร จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจไทย เช่น BBL, KTB
(3) กลุ่มพลังงาน ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง เช่น PTT, PTTEP และค่าการกลั่นฟื้นตัว เช่น TOP, SPRC
(4) กลุ่มขนส่ง ค่าระวางเรือในระดับสูง ส่งผลดีต่อ PSL
(5) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการ EEC คาดได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน และโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน

ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.02 อยู่ที่ 2.85% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)

ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.17 อยู่ที่ 12.16

หุ้นแนะนำ : AOT

ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ธ.ค. +US$2.7 อยู่ที่ US$1,216.0 ต่อออนซ์ ยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลง หลังประธานเฟดส่งสัญญาณว่า เฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีการขยายตัว

(-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -585 ล้านบาท ยอดสะสม 
-195,495 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ปี’59 ซื้อสุทธิสะสม 77,927 ล้านบาท และปี’60 ขายสุทธิสะสม 25,755 ล้านบาท)

ประเด็นที่ต้องติดตาม 28 - 31 ส.ค.’61
28/8/61 สหรัฐฯ เปิดเผย

  • สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ค.
  • ดัชนีราคาบ้านเดือนมิ.ย.
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.

29/8/61 สหรัฐฯ เปิดเผย

  • GDP – 2Q/61 (ประมาณการครั้งที่ 2)
  • ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ค.
  • สต็อกน้ำมัน

30/8/61 สหรัฐฯ เปิดเผย

  • ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
  • ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) - ก.ค.
  • รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนก.ค.

31/8/61 สหรัฐฯ เปิดเผย

  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.

หุ้นแนะนำ

AOT : ในระยะยาว ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง “โอกาสในการสะสม”

  • (ทันหุ้น 28/8/61) AOT คาดกำไรปีนี้ทำสถิติใหม่ทะลุ 2 หมื่นล้านบาท ชู 10 เดือนแรกผู้โดยสารระหว่างประเทศพุ่ง 12% จากปีก่อน ขณะที่เดือนกันยายนนี้ ขออนุมัติ ครม.เข้าบริหารเพิ่ม อีก 4 สนามบิน คือ ท่าอากาศยานอุดรธานี – สกลนคร - ชุมพร และตาก คาดเปิดบริการปี’65 - 66
  • ในระยะยาวยังคงมีความแข็งแกร่ง จากการเติบโตของชนชั้นกลางในจีน ซึ่งนิยมท่องเที่ยวในต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ชาวจีน (30%ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย) มี Passport สัดส่วนต่ำเพียง 8.9%ของประชากร
  • พร้อมกับจุดเด่นของไทย ที่เป็นจุดเชื่อมโยงการเดินทางในภูมิภาค ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวในไทยเป็นที่นิยมของต่างชาติ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น (การยึดสนามบิน การรัฐประหารครั้งล่าสุด รวมถึงการวางระเบิดแยกราชประสงค์) ส่งผลเพียงระยะสั้น และสามารถกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอ
  • ในระยะสั้น คาดยังมี Upsdie จากการประมูลสัมปทานพื้นที่ Duty Free ฉบับใหม่ คาดได้ข้อสรุปในปีนี้พร้อมกับประสิทธิภาพของทรัพย์สิน/เงินลงทุน ที่จะเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยง 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง และอู่ตะเภา)   และแผนการเข้าบริหารสนามบินภูมิภาค 4 แห่งที่มีภาระการลงทุนต่ำราว 1.5 พันล้านบาท ซึ่งจะสามารถช่วยลดความแออัดของสนามบินหลักได้
  • ประเมินราคาเป้าหมายที่  83.00 บาท

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 28 ส.ค. 2561 เวลา : 09:32:04

11-10-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 11, 2024, 3:25 pm