กลยุทธ์วันนี้ >> Stay in Domestic Play //Accumulate on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัวลงอย่างต่อเนื่องตลาดทั้งวันและหลุดระดับ 1,700 จุดอีกครั้ง โดยปิดลบถึง 28 จุด ซึ่งเกือบจะเป็นระดับต่ำสุดของวัน แรงขายส่วนใหญ่มาจากทั้งสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 3.7 พันลบ. และ 2.2 พันลบ. ตามลำดับ (และต่างชาติ Short ใน Index Futures สูงถึง 1.2 หมื่นสัญญา) โดยนักลงทุนกังวลต่อวิกฤตค่าเงินและเศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET Index คาดว่าจะยังคงแกว่งตัว Sideways Down ต่อหลังจากร่วงแรงวานนี้จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังคงไม่สดใสทั้งจากประเด็นสงครามการค้ารวมถึงค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยที่ค่อนข้างแข็งแรงทั้งเศรษฐกิจและการเมืองที่มีเสถียรภาพ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด รวมถึงทุนสำรองที่สูง เราจึงมองว่าหุ้นในกลุ่ม Domestic Play น่าจะยังปลอดภัยและเคลื่อนไหวได้แข็งกว่าตลาด
กลยุทธ์ : ยังเน้นลงทุนในกลุ่ม Domestic Play//ทยอยสะสมหุ้นเพิ่มในช่วงอ่อนตัว
หุ้นเด่นเดือนก.ย. : ASK, CHG, CK, CPALL, PRM
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$310ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$98ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$68ล้าน ไม่มีประเทศใดที่มีเงินทุนไหลเข้า แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคจากความกังวลต่อมาตรการทางการค้าของสหรัฐที่มีต่อจีนและการตอบโต้ของประเทศคู่ค้ารวมถึงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเกิดใหม่
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> BDMS <<
- แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 29 บาท
- คาดกำไร 3Q18 โตแข็งแกร่งทั้ง Q-Q และ Y-Y จากโรคระบาดที่ลากยาวตามฤดูฝน และการควบคุมต้นทุนที่ทำได้ดีมากมาตั้งแต่ 2H17
- การเติบโตระยะยาวจะได้แรงหนุนจากสัดส่วนกลุ่มประกันที่เพิ่มขึ้น เพราะมีความได้เปรียบด้านสาขาที่กระจายทั่วประเทศ ขณะที่ Center of Excellent จะช่วยยกระดับอัตรากำไรจากการเป็นผู้นำรักษาโรคซับซ้อน เราคาดจะหนุนให้กำไรปกติปี 2018-2020 โตเฉลี่ย 16% ต่อปี
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) วิตกในตลาดหุ้นโลก สาเหตุหลักมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าและมีแนวโน้มแข็งต่อ จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและภาวะขาดดุลการค้าของสหรัฐฯที่ลดลง ตอนนี้ตลาดกำลังกังวลกับความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศที่มีหนี้เป็นดอลลาร์ฯมากๆ ไม่ว่าจะเป็นบราซิล แอฟริกาใต้ หรือมาเลเซีย ส่วนไทยมีหนี้ต่างประเทศ 35% ของ GDP และมีเงินทุนสำรองสูงมากราว 2 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นอันดับ 12 ของโลก ผลกระทบในเชิงปัจจัยพื้นฐานจึงจำกัด
(0) ดัชนี PMI ภาคการผลิตของโลก เดือน ส.ค. ลดลงเป็น 52.5 จาก 52.8 ในเดือน ก.ค. ค่อยๆลดลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว แต่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาดีแทบจะประเทศเดียว ขณะที่ความเสี่ยงเรื่องการค้าโลกและค่าเงินในตลาด EM ยังอยู่ จึงหนุนให้เงินไหลเข้าดอลล่าร์สหรัฐฯในฐานะ Safe Haven ผลที่ตามมาคือกระแสเงินมีโอกาสไหลออกจากภูมิภาค ส่วนไทย แม้ว่าต่างชาติจะขายหุ้นไปแล้ว 2 แสนลบ. แต่เงินยังไม่ได้ออกไปไหน ค่าเงินบาทอ่อนค่าเพียง 0.7% YTD น้อยสุดในเอเชีย และต่างชาติซื้อพันธบัตรอยู่ 1.8 แสนลบ. อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ทิศทางตลาดหุ้นแปรผกผันกับค่าเงิน โดย SET และ USD/THB มีความสัมพันธ์เชิงลบในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาราว -0.7 ยิ่งเงินบาทอ่อนค่าตามภูมิภาค SET ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะพักฐานระยะสั้น
(0) กลุ่มสื่อสารฯ บอร์ดกสทช.ยังไม่มีมติกรณีเยียวยาคลื่น 850 MHz แก่ DTAC โดยให้สำนักงนกสทช.ไปจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนประมูลคลื่น 900 MHz ครั้งถัดไปว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดและจะกลับมาพิจารณาใหม่วันที่ 12 ก.ย. ส่วนการเรียกเงินรายได้ช่วงระยะเวลาเยียวยามีมติเรียกเงินจาก TRUE และ ADVANC จำนวน 3.3 พันลบ.และ 900 ลบ. ตามลำดับ ซึ่งจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป นอกจากนี้ล่าสุดอนุญาโตตุลากาลได้ชี้ขาดให้ TRUE ชำระค่าผิดสัญญาจำนวนกว่า 9.4 หมื่นลบ.แก่ TOT กรณีละเมิดข้อตกลงในสัญญาร่วมการงานและร่วมลงทุนขยายบริการโทรศัพท์ โดยให้บริการและยินยอมให้ผู้อื่นนำอุปกรณ์ในระบบไปให้บริการอินเตอร์เน็ต ADSL ซึ่งแม้คดีจะยังไม่สิ้นสุด แต่เป็น Sentiment เชิงลบและมีโอกาสกระทบ Valuation อย่างมาก เราจึงแนะนำให้ชะลอการลงทุนใน TRUE (ราคาเป้าหมาย 8 บาท) และยังเลือก ADVANC (ราคาเป้าหมาย 220 บาท) และ INTUCH (ราคาเป้าหมาย 67.50 บาท) เป็น Top Pick
(+) TU ราคาปลาทูน่าเดือน ส.ค. เท่ากับ US$1,450 ต่อตัน (+11.5% M-M, -26.8% Y-Y) ปรับขึ้นตามฤดูกาล ที่เข้าสู่ช่วงห้ามจับปลา FAD Ban (ก.ค.-ต.ค.) เป็นบวกต่อ TU ที่ได้สต็อกปลาไว้เต็มที่ในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้มาร์จิ้นขยับขึ้นได้ในช่วงปลาย 3Q18 – 4Q18 แนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q18 จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายตั้งสำรองจำนวนมากเหมือน 2Q18 และเป็นช่วง High Season ของการส่งออก อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากบาทอ่อนค่า และสต็อกปลาราคาถูก แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2019 เท่ากับ 20 บาท
(+) PT กำลังได้แรงหนุนจาก 2 ประเด็น คือ การลงทุนด้านไอทีที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนระยะสั้นใน 2H18 หลังจาก KBANK ประสบปัญหาการโอนเงินผ่าน Mobile Banking และ ATM ส่วนปัจจัยหนุนระยะยาว คือการสนับสนุนให้เกิดคลัสเตอร์หุ่นยนต์ ที่ธุรกิจ SI ถูกมองว่าเป็นจุดเชื่อมระหว่างการผลิตหรือบริการแบบดั้งเดิมไปเป็นระบบอัตโนมัติ โดยบริษัทที่ใช้ SI ในประเทศช่วยเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิตอย่างน้อย 30% ของมูลค่าเงินลงทุน จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นเวลา 3 ปี เรายังคงคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ 212 ลบ. +10% Y-Y และปีหน้า 230 ลบ. +9% Y-Y ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PE2018-19 เพียง 8-9 เท่า และให้ปันผลสูงถึง 6-7% ต่อปี แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 8.80 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
6 ก.ย.
|
- สหรัฐฯ: พิจารณาจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ, ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของ ADP (ส.ค.)
|
7 ก.ย.
|
- สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (ส.ค.)
|
8 ก.ย.
|
- จีน: ดุลการค้า (ส.ค.)
|
19 ก.ย.
|
- ไทย: ประชุม กนง.
|
25 ก.ย.
|
- สหรัฐฯ: ประชุม FOMC ตลาดคาดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.25%
|
(-) ตลาดสหรัฐปรับตัวลง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หลังผู้บริหารเฟสบุ๊คและทวิตเตอร์ถูกเรียกเข้าไปสอบปากคำเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐในปี 2016
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง จากความกังวลเรื่องค่าเงินในตลาดเกิดใหม่และสงครามทางการค้า
(-) ตลาดเอเชียเช้านี้ปรับตัวลง โดยตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ในหลายๆประเทศที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าทางการจะมีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อพยายามหยุดการอ่อนลงของค่าเงินแล้วก็ตาม
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 32.77 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ต.ค. ลดลง 1.15 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 68.72 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลเรื่องปริมาณความต้องการใช้น้ำมันอาจชะลอตัวลง หลังค่าเงินในประเทศผู้นำเข้าน้ำมันหลักๆ อย่าง จีน อินเดีย และอินโดนีเซียอ่อนค่าลงมาก รวมไปถึงพายุกอร์ดอนในสหรัฐที่อ่อนกำลังลง
(+) ค่าการกลั่นสิงคโปร์ปรับตัวขึ้น ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ 7.00 ดอลลาร์/บาร์เรล
() ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 2.20 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1194.90 ดอลลาร์/ออนซ์
ข่าวเด่น