ตระหนักแต่อย่าตระหนก มองการปรับฐานเป็นโอกาสรอตั้งรับหุ้นใหญ่เมื่ออ่อนตัว
ความกังวลวิกฤติค่าเงินตลาดเกิดใหม่จะลุกลาม (Contagion) จากอาร์เจนตินา ตุรกี ไปยังอินโดนีเซียและประเทศอื่นๆ ก่อให้เกิดแรงขายหนักในเอเซียและตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ยังห่างไกลจากโอกาสในการเกิดวิกฤติ เพียงแต่ในกระบวนการปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงจากกลุ่มประเทศฐานะการเงินการคลังอ่อนแอ อาจสร้างผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนช่วงสั้น แต่มีผลจำกัดต่อประเทศไทย ที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง เงินเฟ้อต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดและทุนสำรองอยู่ในระดับสูง ประกอบกับความคาดหวังเชิงบวกต่อการเลือกตั้งในต้นปีหน้า จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ทิศทางค่าเงินบาทรวมถึงราคาหุ้นยังคงแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EMs)
เราประเมินการปรับลงของดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1660-1680 จุด จะเริ่มเข้าเขตทยอยซื้อหุ้นใหญ่ ขณะที่ downside รายตัวของหุ้นใหญ่ชั้นดีในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ค้าปลีก อยู่ในราว 3-5% จากระดับปัจจุบัน โดยแนะติดตามสหรัฐฯ ทำประชาพิจารณ์เรื่องมาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน (public hearing) ในวันนี้ ซึ่งผลลัพธ์ดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดทิศทางค่าเงินหยวนและตลาดเกิดใหม่ รวมถึงหุ้นไทยในช่วงถัดไป
Investment Theme หุ้นเล็กที่น่าสนใจ GUNKUL*, PSTC*, DTC*, EASTW* / หุ้นกระแสเงินสดมั่นคง-ปันผล CPNREIT, CPN, PSH, AP, SPF*, EA, BCPG / กลุ่มการแพทย์ที่เน้นลูกค้าในประเทศ CHG, BCH / กลุ่มธนาคาร ระวังแรงทำกำไรระยะสั้น และทยอยซื้อเมื่ออ่อนตัว
ภาพรวมกลยุทธ์: คาดมีแรงทำกำไรสลับ กดดันตลาดครึ่งแรกเดือนก.ย. แกว่งลงทดสอบ 1690-1703 จุด // หุ้นแนะนำวันนี้ EA*/ เก็งกำไร TMILL* (เป้า 3.70 ตัดขาดทุน 3.26), DCC* (เป้า 3.00 ตัดขาดทุน 2.54)
แนวรับ 1670-1680 / แนวต้าน : 1695-1703 จุด สัดส่วน : เงินสด 30% : พอร์ตหุ้น 70%
ประเด็นการลงทุน
วิกฤตค่าเงินทุบหุ้น - วิกฤตการณ์ค่าเงินกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และความกังวลสงครามการค้าที่สหรัฐขู่จะตั้งกำแพงภาษีรอบใหม่กับจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.5 ล้านล้านบาท) ภายในสัปดาห์นี้ ทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นทั่วโลกวานนี้ นำโดยตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ลบ 3.76% เซี่ยงไฮ้ลบ 1.6% และดัชนีเอ็มเอสซีไอ เอเชีย-แปซิฟิก ร่วงวันที่ 6 ติดต่อกัน
คลังปลุกกำลังซื้อ'ฐานราก'ชงคืนแวต'คนจน'500บาท – กระทรวงการคลังเตรียมเสนอโครงการคืนแวตให้ผู้มีรายได้น้อย เข้าที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า เผยวงเงินคืนต่อเดือนไม่เกิน 500 บาท (ใช้จ่ายต่อเดือนราว 8 พันบาท) โดยอายุโครงการราว 5-6 เดือน เริ่ม เดือนแรกพ.ย.นี้ หวังกระตุ้นการใช้จ่ายเศรษฐกิจฐานราก
กบง.ตรึงน้ำมัน - ในอัตราเพดานไม่เกิน 30 สตางค์ต่อลิตร ในกรณีที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกระดับไม่เกิน 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.เป็นต้นไป คาดใช้วงเงินไม่เกิน 180 ล้านบาทต่อเดือน หรือคิดเป็นวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทจนถึงสิ้นปีนี้
TRUE (TP 7.40) – ทรูแจ้งข่ายผ่านตลท. แสดงความเห็นคัดค้านการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายการดำเนินงานในช่วงมาตรการเยียวยา 3.8 พันล้านบาท รวมถึงขอให้ศาลเพิกถอน การชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการข้อพิพาทกับทอท.ประเด็นการประกอบธุรกิจ ADSL แข่งขันหรือกระทบต่อสัมปทานโทรศัพท์บ้านที่ทำกับ TOT ซึ่งคาดต้องพิจารณาอีกนาน แต่มูลค่าความเสียหายที่ 9 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 2.90 บาท/หุ้น จะเป็นปัจจัยลดกดดันต่อราคาหุ้นช่วงนี้
ประเด็นติดตาม: 6 ก.ย. – ประชาพิจารณ์จัดเก็บภาษีจีนของสหรัฐ (public hearing), 7 ก.ย. - ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐ เดือน ส.ค.
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
6 ก.ย. – ประชาพิจารณ์จัดเก็บภาษีจีนของสหรัฐ
7 ก.ย. – GDP ไตรมาส 2/61 ยุโรป
, ตัวเลขการจ้างงาน สหรัฐ เดือน ส.ค.
, ดุลการค้าจีน เดือน ส.ค.
ประเด็นลงทุนสำหรับหุ้นแนะนำ
- EA* (50) : ราคาที่ลดลงก่อนหน้าสะท้อนปัจจัยลบส่วนใหญ่ไปแล้ว ขณะที่ยังไม่สะท้อนการเติบโตของโครงการในอนาคต ซึ่งมีมูลค่าเหมาะสม 45-50 บาท (ไม่รวม EV หรือธุรกิจแบตเตอรี่)
- TMILL* (3.70) : เก็งกำไรแบบตั้งจุดตัดขาดทุนที่ 3.26 บาท
- DCC* (3.00) : เก็งกำไรแบบตั้งจุดตัดขาดทุนที่ 2.54 บาท
- หุ้นที่น่าสนใจอื่นๆ: กลุ่มธนาคาร / กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ / SF, CPN, MINT, PF, SGP*, BDMS, MBK*, MTC, TK, GUNKUL*, PSTC*(ควรตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5%)
ข่าวเด่น