กลยุทธ์วันนี้ >> Domestic Play//Let Profit Run
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่นและปิดบวกถึงกว่า 38 จุด ณ สิ้นวัน โดยได้แรงหนุนทั้งจากการที่สหรัฐฯ-จีนเตรียมที่จะกลับมาเจรจาการค้าอีกครั้ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการเลือกตั้งในไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้น แรงซื้อหลักมาจากสถาบันในประเทศสูงถึง 1.15 หมื่นลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิ 2 พันลบ. (และยังคง Long ใน Index Futures หนาแน่นอีก 1.2 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET Index คาดว่าจะแกว่งตัวขึ้นต่อได้จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังค่อนข้างสดใส แม้กลุ่มพลังงานจะถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรง 2.5% เมื่อคืน แต่ยังมีปัจจัยหนุนจากการที่จีนตอบรับคำเชิญสหรัฐฯในการเจรจาทางการค้ารอบใหม่ รวมถึงปัจจัยในประเทศที่แข็งแกร่งทั้งเศรษฐกิจและการเลือกตั้งที่ชัดเจนมากขึ้นคาดว่าจะยังสร้างความมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติรวมถึงสถาบันในประเทศอย่างต่อเนื่อง เรายังเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Domestic Play เป็นหลักและคาดว่าจะสามารถ Outperform ตลาด
กลยุทธ์ : ลงทุนในกลุ่ม Domestic Play//ยังเน้นถือต่อ Let Profit Run
หุ้นเด่นเดือนก.ย. : ASK, CHG, CK, CPALL, PRM
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$224ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$266ล้าน ขณะที่ไหลเข้าไทยประเทศเดียว US$61ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางกลับมาไหลเข้าภูมิภาคหลังจีนตอบตกลงเข้าเจรจาสหรัฐต่อประเด็นทางการค้า
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> IRPC <<
- แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 9 บาท
- กำไร 3Q18 อาจชะลอทั้ง Q-Q และ Y-Y จากการปิดซ่อมโรงกลั่น แต่จะไปเร่งใน 4Q18 ต่อเนื่องถึง 1Q19 จาก GRM ที่เพิ่มขึ้นตามการ COD โครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV) ส่วนเพิ่ม คาดกำไรปกติทั้งปี 1.3 หมื่นลบ. +22% Y-Y
- ราคาหุ้นมีโอกาสถูก Cover Short จากทั้งยอด Short ใน IRPCU18 + IRPCZ18 ตั้งแต่ต้น ก.ย. 18 ที่มี OI รวมกัน 2.8 หมื่นสัญญา (28 ล้านหุ้น) ราคาเฉลี่ย 6.87 บาท และยอด Short Sales ในช่วงเวลาเดียวกันอีก 14.6 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 6.69 บาท
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) Dollar Index พักฐาน จากอัตราเงินเฟ้อ ส.ค. 18 ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเพียง 2.2% ต่ำกว่างวดก่อนและคาดการณ์ของตลาดที่ 2.4% ลดแรงกดดันการปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกของเฟดในระยะสั้น อีกทั้ง ยังเป็นผลจากเงินยูโรที่กลับมาแข็งค่า หลังที่ประชุม ECB ลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 1.5 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนใน ต.ค. 18 และจะยกเลิกในสิ้นปีนี้ ส่วนเงินบาทแข็งค่าเร่งขึ้น จากปัจจัยหนุนด้านการเลือกตั้งในประเทศ ซึ่งจะดีกับการเคลื่อนไหวของ SET ในลำดับถัดไป หุ้นกลุ่มส่งออกที่ Outperform ตลาดก่อนหน้านี้ทั้งอิเล็กทรอนิกส์และเกษตรอาหารอาจพักฐานชั่วคราว ส่วนหุ้นกลุ่มนำเข้าที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง เช่น SYNEX FTE THMUI
(+) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง จากข้อมูลทางสถิติ เราพบว่าหุ้นมักปรับตัวขึ้นก่อนเลือกตั้ง 4-6 เดือน และกระจายตัวไปเกือบทั้งตลาดเพราะทำให้เกิดความเชื่อมั่นด้านการบริโภคและการลงทุนตามมา โดยกลุ่มที่เราคาดว่าจะได้ประโยชน์ก่อนคือ สื่อโฆษณา รับเหมาและวัสดุก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหุ้นพื้นฐานดีที่เราคัดเลือกใน Election Theme สามารถติดตามได้ผ่านฟังก์ชั่น Stock Scan ในหัวข้อ Event Plays จากโปรแกรม Finansia HERO เช่น AMATA CK CPALL KBANK MTC PLANB SCC SEAFCO เป็นต้น
(0) กลุ่มธนาคาร ได้ประโยชน์จากการเติบโตของสินเชื่อที่จะเร่งขึ้นทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง โดยสถิติ 4 ครั้งล่าสุด พบว่าสินเชื่อจะขยับขึ้นก่อนเลือกตั้งเฉลี่ย 2% ต่อไตรมาส และเดือนที่มีการเลือกตั้งจะเพิ่มเฉลี่ย 2.5% ส่วนหลังเลือกตั้งไปแล้ว ถ้าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จะขึ้นเฉลี่ย 4% ต่อไตรมาส ซึ่งเมื่อรวมกับภาวะปกติที่สินเชื่อจะโตตามฤดูกาลอยู่แล้ว เราคาดว่า 4Q18 เติบโตได้ราว 4-5% และเป็นไปได้สูงที่ทั้งปีจะโต 7-8% Y-Y (จาก 6M18 +2.8% Y-Y) และคาดว่าจะได้เห็นแรงส่งต่อเนื่องไปใน 1H19 เรามีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการสินเชื่อปี 2019 ขึ้น จากเดิมที่คาด +5.2% Y-Y และกลุ่มแบงก์น่าจะถูก Re-rated Valuation ขึ้น เพราะเป็นกลุ่มแรกที่ได้ประโยชน์จากวงจรการลงทุนรอบใหญ่ที่กำลังจะมา เราแนะนำ KBANK (ราคาเป้าหมาย 235 บาท) และ BBL (ราคาเป้าหมาย 232 บาท)
(0) KSL ผลประกอบการ 3Q18 (เดือน พ.ค.-ก.ค.) พลิกเป็นขาดทุน -95 ลบ. จากที่กำไร 688 ลบ. ใน 2Q18 และ 58 ลบ. ใน 3Q17 มาจากราคาน้ำตาลที่ลดลงมาก มาร์จิ้นหดลงแรงเหลือ 13.8% จาก 37% ใน 2Q18 และ 26.4% ใน 2Q17 ดอกเบี้ยจ่ายก็สูงขึ้นมาก เพราะอ้อยปีนี้เยอะมาก เลยต้องใช้ working capital สูงขึ้น รวม 9M18 มีกำไรสุทธิ 734 ลบ. -36% Y-Y ถ้าไม่รามกำไรพิเศษปีก่อน จะมีกำไรปกติ -9.7% Y-Y แนวโน้มกำไร 4Q18 ยังไม่ดี และอาจต่อเนื่องไปในปีหน้า เพราะผลผลิตอ้อยยังออกมาเยอะ และราคาน้ำตาลโลกก็ยังไม่ดี แม้จะขยับขึ้นมาบ้าง วันนี้ยังอยู่ที่ 12 เซนต์ต่อปอนด์ ปรับขึ้นจากก่อนหน้าที่ 10-11 เซนต์ต่อปอนด์ แต่ยังเป็นระดับที่ต่ำมาก แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มน้ำตาลตามเดิม
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
14 ก.ย.
|
- ยูโรโซน: ดุลการค้า (ก.ค.)
- รัสเซีย: ประชุมธนาคารกลาง
- สหรัฐฯ: ยอดค้าปลีก (ส.ค.)
|
19 ก.ย.
|
- ไทย: ประชุม กนง.
|
25 ก.ย.
|
- สหรัฐฯ: ประชุม FOMC ตลาดคาดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.25%
|
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี และตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ความกังวลในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยลดลง
(0) ตลาดหุ้นยุโรปปิดผสมผสาน แม้ว่า BOE และ ECB คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้เป็นอย่างดี แต่ค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น กลับมากดดันกำไรบริษัทจดทะเบียนข้ามชาติ
(+) ภาพรวมตลาดเอเชียเช้านี้ปรับตัวขึ้น หลังคลายความกังวลเรื่องสงครามทางการค้าและวิกฤติค่าเงิน หลังสกุลเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 32.60 บาท/ดอลลาร์
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับลง 1.78 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 68.59 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลอุปสงค์น้ำมันจะลดลง จากการทำสงครามการค้าระหว่างและประเทศคู่ค้า ซึ่งจะกระทบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ
(-) ค่าการกลั่นสิงคโปร์ปรับตัวลง ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ 5.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
() ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ลดลง 2.7 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1208.2 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
ข่าวเด่น