“ แกว่งตัว ลดความแรง ”
ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ : SET Index ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องบวก 4.25 จุด (+0.25%) ปิดที่ 1,722 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 58,890 ล้านบาท ตอบรับปัจจัยบวกกรอบการเลือกตั้งที่ชัดเจนในปี 2562 รวมถึงการคลายความกังวล Trade war หลังสหรัฐส่งคำเชิญจีนเข้าร่วมเจรจาข้อพิพาททางการค้ารอบใหม่ ทั้งนี้นักลงทุนสถาบันยังคงเป็นฝั่งซื้อสุทธิต่อเนื่อง 3,470 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติเป็นซื้อสุทธิเล็กน้อยอีก 300 ล้านบาท และ Net Long TFEX ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 อีก 1,319 สัญญา เช่นเดียวกับตลาดพันธบัตรที่ซื้อสุทธิอีก 1,469 ล้านบาท
แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : คาดการณ์ SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,715 – 1,730 จุด เนื่องจากปธน.ทรัมป์เตรียมเดินหน้าเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์ต่อไป แม้ว่าทางสหรัฐจะส่งจดหมายเชิญจีนให้เข้าร่วมเจรจาแก้ปัญหาข้อพิพาทการค้าก็ตาม ประกอบกับตลาดหุ้นได้ดีดตัวขึ้นตอบรับปัจจัยบวกกรอบการเลือกตั้งภายในประเทศที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วงเดือนก.พ. – พ.ค. 2562 มาแล้วและขึ้นมาเข้าใกล้แนวต้านสำคัญ 1,730 จุดซึ่งอาจส่งผลให้มีแรงขายทำกำไรระยะสั้นกดดันภาวะตลาดได้ อย่างไรก็ตามปัจจัยลบที่น้ำหนักไม่มากนักประกอบแรงซื้อฝั่งนักลงทุนสถาบันและต่างชาติยังคงอยู่จึงคาดว่าภาวะตลาดจะแกว่งตัว
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy
Domestic play รับผลบวกจากการเลือกตั้ง รับเหมา (STEC, SEAFCO), นิคมฯ(AMATA) กลุ่มค้าปลีกที่มีฐานลูกค้าต่างจังหวัด ( ROBINS, CPALL, DCC, TK)
กลุ่มธนาคาร เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น (BBL, SCB, KKP, TMB)
กลุ่ม defensive stock ในภาวะตลาดผันผวน เช่น กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, BCH, CHG) กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, CKP, EA)
หุ้นแนะนำวันนี้ : CPALL (ปิด 68.5 ซื้อ/เป้า 80) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน ทำให้ CPALL กลายเป็นหุ้นเป้าหมายที่นักลงทุนสถาบันจะซื้อคืน, STA (ปิด 13 ซื้อ/เป้าสูงสุด Consensus 15.5) เปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจจากเป็นผู้ผลิตขั้นกลาง (วัตถุดิบจากผลิตภัณฑ์ยาง) ไปสู่ผลิตภัณฑ์ขั้นปลายน้ำ (ถุงมือยาง)ในสัดส่วนที่มากขึ้น ช่วยลดความผันผวนของรายได้และเพิ่มมาร์จิ้นให้สูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันเรามองว่าตลาดยังไม่ให้ Value จากธุรกิจดังกล่าว จึงเป็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อ, IHL (ปิด 9 ซื้อ/เป้า 11.8) คาดผลกำไรจะทยอยฟื้นตัว qoq ตั้งแต่ 3Q18 เป็นต้นไป เนื่องจากโรงฟอกหนังเฟสใหม่เริ่มผลิตอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือน ส.ค.หนุนกำลังการผลิตเพิ่มเท่าตัวจาก 1 ล้านชิ้น/เดือน เป็น 1.7 ล้านชิ้น
Top picks ปีนี้ : ADVANC, ANAN, BEM, BDMS, CHG, CPALL, IVL, MINT, MTC และ QH
KSS report วันนี้ : CPALL (ปิด 68.5 ปรับเป็นซื้อ/เป้าใหม่ 80 จาก 83), DTAC (ปิด 44.5 ปรับเป็นซื้อ/เป้าใหม่ 53 จาก 50), GCAP (ปิด 3.98 ลดเป็นถือ/เป้าใหม่ 3.9 จาก 6.6), ROBINS (ปิด 66.5 ซื้อ/เป้าใหม่ 76 จาก 72), Commerce Sector
ประเด็นสำคัญวันนี้ :
(-) วันนี้สหรัฐเตรียมประกาศเก็บภาษีสินค้าจากจีนรอบใหม่ คาดกระทบ Sentiment การลงทุนไม่มากหากจีนและสหรัฐยังอยู่ในเวทีการเจรจา : วันนี้ตลาดคาดว่าสหรัฐจะประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่มูลค่า 2 แสนล้านเหรียญฯ แต่คาดว่าอัตราภาษีที่เรียกเก็บอาจจะลดลงจาก 25% เป็น 10% นอกจากนี้ยังเตรียมแผนทำประชาพิจารณ์เพื่อเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนอีก 2.67 แสนล้านเหรียญฯ เรามองว่าประเด็นนี้จะส่งผลลบต่อ Sentiment การลงทุนในวันนี้ไม่มาก เนื่องจากตลาดรับรู้ปัจจัยนี้ไปมากแล้ว และเราเชื่อว่าหากจีนและสหรัฐยังอยู่ในเวทีเจรจายังมีเวลาให้ทั้ง 2 ประเทศหาแนวทางในการแก้ปัญหา อย่างไรก็ตามหากการประกาศเก็บภาษีของสหรัฐในวันนี้ทำให้จีนเปลี่ยนใจยกเลิกที่จะเข้าเจรจากับสหรัฐจะกลายเป็นปัจจัยลบที่รุนแรงมากขึ้น
(+) การเมืองในประเทศผ่อนคลายต่อเนื่อง ตอบรับคสช.ใช้มาตรา 44 คลายล็อคพรรคการเมือง เป็นบวกต่อกลุ่ม รับเหมา,นิคม,และค้าปลีก : เมื่อวันศุกร์เว็ปไซด์ราชกิจจานุเบกษาลงประกาศ คสช.บังคับใช้มาตรา 44 เพื่อคลายล็อคให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมต่างได้ อาทิ การรับสมาชิกพรรค จัดตั้งพรรคสาขา และเลือกหัวหน้าพรรค อย่างไรก็ตาม คสช.ยังไม่อนุญาติให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมใดๆในลักษณะของการหาเสียง เรามองว่าการปลดล็อคพรรคการเมืองในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความคืบหน้าของการเมืองในประเทศเนื่องจากเป็นการให้อิสระคืนสู่พรรคการเมืองถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงระบอบการปกครองที่กำลังจะเปลี่ยนไปสู่ระบอบประชาธิปไตย หุ้นในกลุ่ม Domestic ที่ได้ผลบวกจากพรรคการเมืองจะยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนนำโดย กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (STEC, SEAFCO), กลุ่มนิคมฯ(AMATA) กลุ่มค้าปลีก( CPALL, ROBINS, TK,DCC)
(+/-) ประชุม กนง.สัปดาห์นี้คาดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.5% ตามเดิม โดยแบงก์กรุงศรีฯคาดกนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงปลายปี : คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย(กนง.) มีกำหนดประชุมในวันที่ 19 ก.ย. เราคงมุมมองเดิมคาด กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.5% ตามเดิม จากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ เศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว และยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะ trade war ทำให้เป็นไปได้ที่ กนง.จะรอดูความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆก่อน อย่างไรก็ตามแบงก์กรุงศรีฯประเมินว่า กนง.อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงปลายปี เพื่อเป็นการลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐที่อาจจะมากขึ้นหากเฟดตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้
ข่าวเด่น