“ พลังงานนําทัพ ”
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index วานนี้ปรับตัวขึ้น +5.38 จุด (+0.31%) ปิดที่ 1,749 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 92,395 ล้านบาท จากแรงกดดัน Trade war ที่ผ่อนคลายลงหลังจีนตอบโต้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐน้อยกว่าคาดโดยปรับภาษีขึ้นในอัตรา 5 – 10% วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์มีผล 24 ก.ย. ส่งผลให้มีแรงซื้อกลุ่ม Big cap นำโดย COMM, FIN, TOURISM ทั้งนี้นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 6,186 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,601 ล้านบาท แต่ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 72 ล้านบาท และNet Short TFEX 3,230 สัญญา
แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : คาดการณ์ SET Index ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,755 – 1,760 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว เนื่องจากได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นแรงยืนเหนือ 71 US/Barrel หลังตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 โดยลดลงอีก 2.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 394.1 ล้านบาร์เรล ประกอบกับสถานการณ์ Trade war ที่ผ่อนคลายลงหลังจีนตอบโต้สหรัฐโดยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐในอัตรา 5 – 10% วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเก็บภาษีที่ 20% นอกจากนี้ Fund flow ต่างชาติที่พลิกกลับเป็น Net Buy ต่อเนื่อง 5 วันราว 5.7 พันลบ.ตามทิศทางค่าเงินดอลล่าร์ที่อ่อนตัวลง รวมถึง FTSE rebalance Asia EX Japan ยกระดับโปแลนด์ขึ้นสู่ FTSE-DM ส่งผลให้มีเม็ดเงินกระจายสู่กลุ่มตลาด Emerging Market ในช่วงสัปดาห์นี้จะเป็นแรงหนุนต่อทิศทางดัชนีในวันนี้
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy
กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTGC, TOP, PTTEP) ราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นเหนือ 71 US/Barrel รวมถึงกระทรวงพลังงานเปิดยื่นเข้าประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณในวันที่ 25 ก.ย.
Domestic play รับผลบวกจากการเลือกตั้ง รับเหมา (STEC, SEAFCO) นิคมฯ (AMATA) กลุ่มค้าปลีกที่มีฐานลูกค้าต่างจังหวัด (ROBINS, CPALL, DCC, TK)
กลุ่มธนาคาร เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น (BBL, SCB, KKP, TMB)
กลุ่ม defensive stock เช่น กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, BCH, CHG) กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, CKP, EA)
หุ้นแนะนำวันนี้ : IVL (ปิด 59 ซื้อ/เป้า 73) ได้ผลบวกโดยตรงหลังวานนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศใช้กฏทุ่มตลาดเม็ดพลาสติก PET จาก 5 ประเทศ (บราซิล, อินโดฯ, เกาหลี, ปากีสถาน และ ไต้หวัน) คาดหนุนราคา PET ในสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นบวกต่อ IVL ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตหลักของสหรัฐ, STA (ปิด 15.1 ซื้อ/เป้า 22) ราคานี้ตอบรับธุรกิจถุงมือยางที่ประมาณ 15 เท่า PE ปี 19 ในขณะที่ต่างประเทศเทรดที่ 25-30 เท่า และธุรกิจยางธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีค่าเป็นศูนย์ ราคายาง sideways ในปัจจุบัน ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ดีและเหมาะสมสำหรับธุรกิจยางธรรมชาติที่จะทำกำไรต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นขาขึ้นรอบใหญ่อย่างในอดีตที่ผ่านมา, KKP (ปิด 75 ซื้อ/เป้า 85) แนวโน้มผลกำไรยังเติบโตแข็งแกร่งเห็นได้จากรายงานยอดขายรถยนต์รายเดือนของเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้นเป็น 8.67 หมื่นคันเพิ่มขึ้น 5.9%mom และ 27.7%yoy นอกจากนี้ KKP ยังเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลสูงสุดของกลุ่ม (ประมาณ 7-7.5%)
Top picks ปีนี้ : ADVANC, ANAN, BEM, BDMS, CHG, CPALL, IVL, MINT, MTC และ QH
KSS report วันนี้ : IVL (ปิด 59 ซื้อ/เป้า 73), Power Sector (Top pick: CKP, EA, TPIPP)
ประเด็นสำคัญวันนี้ :
(+) ดาวโจนส์ขยับใกล้ระดับสูงสุดจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มการเงิน ขานรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐกลับมายืนเหนือระดับ 3% : ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีก 158.8 จุด ปิดที่ 26,405.76 จุด ใกล้กับระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 26,617 จุด โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มการเงิน เนื่องจากยังเป็นกลุ่มที่ Laggard และคาดว่าจะได้ผลบวกจากการสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดย Bond yield 10 ปีของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.06% ใกล้เคียงระดับสูงสุดของปีนี้ที่ระดับ 3.13% ประกอบกับตลาดคาดว่าการประชุมเฟดในวันที่ 25 ก.ย.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 2.25%
(+) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน – ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 2 เดือน ตอบรับข่าวสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน: ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.27 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 71.12 ดอลลาร์/บาร์เรล ตอบรับรายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 5 โดยลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล เป็น 394.1 ล้านบาร์เรล ต่ำสุดในรอบ 3 ปี นอกจากนี้ตลาดยังกังวลถึงภาวะตึงตัวของซัพพลายน้ำมันดิบ หลังจากที่มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ของสหรัฐจะเริ่มมีผลในเดือนพ.ย.นี้เป็นต้นไป (ตลาดคาดมาตรการดังกล่าวจะกดดันให้ปริมาณน้ำมันในตลาดลดลงประมาณ 600,000-1,500,000 บาร์เรลต่อวัน)
(+) กนง.คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.5% ตามเดิม แต่มติไม่เป็นเอกฉันฑ์ 5:2 บ่งชี้ถึงโอกาสที่แบงก์ชาติจะขึ้นดอกในปีนี้มีมากขึ้น : วานนี้ที่ประชุม กนง.มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.5% ตามเดิม แต่มติไม่เป็นเอกฉัณฑ์ที่ 5:2 เสียง เทียบกับมติครั้งก่อนที่ 6:1 เสียง บ่งชี้ได้ว่ามีคณะกรรมการที่ต้องการให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า กนง.อาจจะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงปลายปีนี้ ด้านมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจ แบงก์ชาติคงคาดการณ์ GDP ในปีนี้และปีหน้าตามเดิมโดยคาด GDP ปีนี้โต 4.4% และ 4.2% ในปี 19 ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปและจะกลับเข้าใกล้เป้าหมายในระยะถัดไป
ข่าวเด่น