กลยุทธ์วันนี้
เน้นหุ้น Laggard // หุ้นหลักที่ขึ้นมาเด่นทยอยขายทำกำไร
ระดับความเสี่ยงของตลาด
Neutral
Smart Pick
สะสม CK
ราคาปิด 27.75 บาท
ราคาเหมาะสม 29.50 บาท
ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับราคาหุ้นของบริษัทลูกที่ปรับตัวขึ้น โดย YTD ราคาหุ้น CK +4.7% ขณะที่ BEM +14.3% และ CKP +25.0%
นอกจากนี้ ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่า NAV ของการถือหุ้นใน 3 บริษัทลูกได้แก่ BEM, TTW, CKP เทียบเท่าหุ้นละ 36.26 บาท สะท้อนให้เห็นว่าหุ้น CK ยัง Undervalue และมี Downside จำกัด
เก็งกำไร SCB
ราคาปิด 149.50 บาท
ราคาเหมาะสม 153.00 บาท
เราคงมุมมองบวกต่อกลุ่มธนาคาร ทั้งจากการทยอยรายงานสินเชื่อเดือนส.ค.ที่ขยายตัวเป็นส่วนใหญ่ และสัญญาณของกนง.ต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสขึ้นในปลายปีนี้ เป็นบวกต่อ NIM ของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มธนาคารได้ประโยชน์โดยตรงจากประเด็นการเลือกตั้ง มั่นใจทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เป็นบวกต่อการขยายตัวของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้น
เก็งกำไร LPN
ราคาปิด 11.20 บาท
ราคาเหมาะสม 11.60 บาท
ราคาหุ้นมี Momentum บวก หลังผ่านแนวต้านเส้น 200 วันที่ 10.70 บาทได้ ขณะที่ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดของปีแล้วใน 2Q61 คาดกำไร 3Q และ 4Q มีแนวโน้มเติบโตทั้ง YoY และ QoQ
เรามองว่า LPN มี Downside จำกัด และราคาหุ้นสะท้อนผลประกอบการ 1H61 ที่อ่อนแอแล้ว โดย YTD ลดลง -15.2% เทียบกับ SET Property +1.7% ขณะที่เงินปันผล 2H61 คาดหุ้นละ 0.35 บาท ให้ Yield 3.1%
เก็งกำไร IRPC
ราคาปิด 6.95 บาท
แนวต้านทางเทคนิค 7.20 บาท
ภาพทางเทคนิคเป็นบวก หากผ่าน 7.05 บาทได้จะขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 7.20 บาท แนวรับ 6.90 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 6.75 บาท
หุ้นกลุ่มโรงกลั่นมีปัจจัยหนุนในระยะกลาง-ยาว จากการเปลี่ยนมาตรฐานน้ำมันเตาของอุตสาหกรรมเดินเรือเพื่อลดสารกำมะถันจาก 3.5% เหลือ 0.5% (IMO) เริ่มปี 2563 เรามองว่าเป็นบวกต่อค่าการกลั่นในระยะกลาง-ยาว และโรงกลั่นของ IRPC มีแผน Upgrade เพื่อรองรับมาตรฐานใหม่ของ IMO แล้ว
Profit-Taking : N.A.
กลยุทธ์วันนี้
การซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ เรากลับคงมุมมองเป็น “กลางถึงบวก” ทั้งจากการปรับดัชนี FTSE วันนี้อาจเห็นต่างชาติซื้อสุทธิราว 800-1,000 ล้านบาทได้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่า เอื้อต่อกระแสเงินทุนต่างชาติต่อตลาดหุ้นในเอเชียเกิดใหม่ และการเข้าสู่ช่วง Window Dressing ทำให้กองทุนในประเทศช่วยประคองภาพรวมเพื่อทำระดับปิดไตรมาส ส่งผลให้ SET INDEX วันนี้มีลุ้นปิดบริเวณ 1,760 จุดได้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาบริเวณ 1,760 จุดคิดเป็น PER61 ที่ 16.30x ใกล้เคียงกับ +1SD ของค่าเฉลี่ย 1Yr Forward PER ย้อนหลัง 5 ปี ทำให้เรามองว่า Valuation ของตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบันตึงตัวมากขึ้นขณะที่มูลค่าสัญญา Block Trade ที่ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากระดับต่ำสุดในรอบนี้ราว 2.30 หมื่นล้านบาทในช่วงกลางเดือนส.ค. เป็น 2.72 หมื่นล้านบาท ณ วานนี้ เป็นอีกปัจจัยเร่ง SET INDEX ในรอบนี้ ดังนั้นนักลงทุนควรทยอยขายทำกำไรต่อหุ้นหลักที่ขึ้นมาเด่นในรอบนี้ และหมุนเข้าหาหุ้น/กลุ่มที่ขึ้นมาน้อยกว่าตลาดรวม เช่นกลุ่มธนาคาร / กลุ่มวัสดุก่อสร้าง / กลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น
สำหรับวันนี้ ดัชนี FTSE ปรับน้ำหนัก (Rebalance) ณ ราคาปิดวันนี้ อาจเกิดความผันผวนต่อหุ้นรายตัวทั้งในแง่ราคาและมูลค่าการซื้อขาย เชิงกลยุทธ์ เรายืนยันให้ขายทำกำไรระยะสั้น (Take Profits) หุ้น MBK ซึ่งได้รับเลือกเข้าดัชนี FTSE Small Cap หลังราคาหุ้นขึ้นมากว่า 6% ในช่วง 1 สัปดาห์
ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญในสัปดาห์หน้า คือ การประชุมเฟด วันที่ 25-26 ก.ย. จับตาการส่งสัญญาณประมาณการเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงิน (Dot Plot) โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสำหรับปีนี้ และปีหน้า ส่วนปัจจัยในประเทศ เริ่มเข้าการประมาณการผลประกอบการ 3Q61 กลุ่มธนาคาร แต่ปัจจัยที่น่าจับตามองคือ การหมดอายุของ S50U18 วันที่ 28 ก.ย. คาดว่าจะเกิดความผันผวนในหุ้น SET50 Index ได้
HOT Topic
Hot Topic วันนี้
1. ดัชนี FTSE ปรับน้ำหนักวันนี้
2. ติดตามตัวเลขส่งออกไทย เดือน ส.ค. คาด +4.5% YoY
3. ประเด็นสำคัญสัปดาห์หน้า ได้แก่ ประชุมเฟด คาดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.00-2.25%
4. ราคาน้ำมันถูกกดดันจากความเห็นของทรัมป์อีกครั้ง…เกิดอะไรขึ้น?
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
วานนี้ SET INDEX ขึ้นทดสอบแนวต้านบริเวณ 1760 จุดเป็นวันที่ 2 แต่ยังไม่สามารถปิดยืนเหนือบริเวณดังกล่าวได้ ก่อนลงมาปิดที่ 1752.11 จุด เพิ่มขึ้น 2.31 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 6.8 หมื่นล้านบาท โดยมีรายการ Big Lot หุ้น SABINA มูลค่า 2.5 พันล้านบาท
กระแสเงินทุน: นักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6 เพียง 97 ล้านบาท รวม 6 วันทำการซื้อสุทธิสะสมราว 5.8 พันล้านบาท สวนทางกับสถาบันในประเทศที่พลิกกลับมาขายสุทธิวันแรกในรอบ 3 วันทำการราว 384 ล้านบาท ด้านตลาด SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Short สุทธิเป็นวันที่ 3 อีกราว 1.5 พันสัญญา รวม 3 วันทำการ Short สุทธิสะสมทั้งสิ้น 1.5 หมื่นสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Long สุทธิคงเหลือราว 5.5 หมื่นสัญญา โดย S50U18 มี Discount จาก SET50 Index ราว 0.5 จุด ด้านกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศและบัญชี บล. มีสถานะ Long สุทธิเป็นวันที่ 2 อีกราว 2 พันสัญญา รวม 2 วันทำการมีสถานะ Long สุทธิสะสมราว 2.5 พันสัญญา ส่งผลให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้มีสถานะ Short สุทธิสะสมราว 2 หมื่นสัญญา
ตลาดตราสารหนี้: นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิราว 4 พันล้านบาท จากขายสุทธิ 72 ล้านบาทในวันก่อนหน้า
ปัจจัยสำคัญวันนี้
- ประธานคณะมนตรียุโรป ปฏิเสธข้อเสนอของอังกฤษหลังจากแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (BREXIT)
- จีนเตรียมปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าในเดือน ต.ค. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
- ประธานาธิบดีสหรัฐฯกดดันให้กลุ่ม OPEC หาทางลดราคาน้ำมันดิบลง
- รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยืนยัน พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 ธ.ค. 2561 และจะจัดการเลือกตั้งภายใน 150 วัน หมายความว่าการเลือกตั้งจะจัดขึ้นภายในวันที่ 9 พ.ค. 2562 เป็นอย่างช้า
- ญี่ปุ่นรายงานเงินเฟ้อส.ค. ขยายตัว 1.3% YoY มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1% YoY
- ติดตามการรายงานนำเข้า/ส่งออกไทยเดือน ส.ค.2561 ตลาดคาดส่งออกขยายตัว 4.5% YoY และการปรับน้ำหนักดัชนี FTSE ณ ราคาปิดวันนี้
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
- ติดตามการบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในวันที่ 24 ก.ย.
- ติดตามการยื่นประมูลแหล่งปิโตรเลียมบงกชและเอราวัณ วันที่ 25 ก.ย.
- ติดตามการประชุมเฟด วันที่ 25 – 26 ก.ย.
- ติดตามการรายงาน GDP 2Q61 ครั้งที่ 3 ตลาดคาดขยายตัว 4.3% วันที่ 27 ก.ย.
- กกต. เชิญพรรคการเมืองหารือ วันที่ 28 ก.ย.
- ติดตามการรายงานเงินเฟ้อ PCE เดือน ส.ค. ของสหรัฐฯ ตลาดคาดขยายตัว 2.0% YoY , การรายงาน GDP 2Q61 ของอังกฤษ และการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยของธปท. วันที่ 28 ก.ย.
- S50U18 หมดอายุในวันที่ 28 ก.ย.
ข่าวเด่น