ราคาน้ำมันคาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังอุปทานน้ำมันดิบโลกตึงตัว
ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 70 -75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 80 - 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (1 - 5 ต.ค. 61)
ราคาน้ำมันดิบคาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังอุปทานน้ำมันดิบโลกมีแนวโน้มตึงตัว จากการปรับลดปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านและเวเนซุเอลา ขณะที่ผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกตัดสินใจที่จะคงกำลังการผลิต โดยไม่สนใจต่อคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ประกอบกับ สหรัฐฯ ก็ยังไม่มีท่าทีที่จะขายน้ำมันดิบในคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์ (SPR) เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันที่คาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากสงครามการค้า และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ :
- ปริมาณการผลิตและส่งออกน้ำมันดิบของประเทศอิหร่านมีแนวโน้มปรับลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ หลังประเทศต่างๆ ได้ปรับลดอัตราการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านก่อนวันกำหนดการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ในวันที่ 4 พ.ย. 61 โดยตลาดคาดว่าปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านอาจปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.4-2.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากระดับก่อนหน้าที่จะมีการประกาศคว่ำบาตรที่ระดับ 2.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่นได้หยุดการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน ขณะที่อินเดียยังไม่มีทีท่าที่จะนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านในเดือน พ.ย. 61
- หลังการประชุมระหว่างผู้ผลิตทั้งในและนอกโอเปกในวันที่ 22-23 ก.ย. ที่ผ่านมา ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียตัดสินใจที่จะคงระดับการผลิต โดยไม่สนใจต่อคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้มีการเพิ่มกำลังจากผลิตเพื่อชดเชยอุปทานน้ำมันดิบจากอิหร่านที่ขาดหายไป ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดิอาระเบียให้ความเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะเพิ่มกำลังการผลิต เนื่องจากตลาดน้ำมันดิบกำลังอยู่ในระดับสมดุล และคาดว่าอุปทานน้ำมันดิบของผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกจะมากกว่าอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของตลาดโลกในปีหน้า
- ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังโรงกลั่นในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดอัตราการกลั่นต่อเนื่องในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่น โดยในสัปดาห์ล่าสุด สำนักงานพลังงานสากลสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นราว 1.9 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 396 ล้านบาร์เรล หลังโรงกลั่นลดอัตราการกลั่นราวร้อยละ 5 มาอยู่ที่ร้อยละ 90.4 ในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุง
- ความต้องการใช้น้ำมันโลกคาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนโดยสหรัฐฯ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังต้องจับตาราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจกดดันอุปสงค์น้ำมันในอนาคตได้
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed funds rate) ร้อยละ 0.25 มาอยูที่ระดับร้อยละ 2.00-2.25 ในวันที่ 26 ก.ย. พร้อมทั้งยังส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค. 61 ซึ่งการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นอาจส่งผลให้นักลงทุนลดการลงทุนในตลาดน้ำมันดิบ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในสกุลเงินสหรัฐฯ จะมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น
- ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ อัตราการว่างงานสหรัฐฯ อัตราการว่างงานยูโรโซน และยอดค้าปลีกยูโรโซน
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 - 28 ก.ย. 61)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.47 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 73.25 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 3.92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 82.72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียตัดสินใจคงระดับการผลิตน้ำมันดิบ ประกอบกับ ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบจากอิหร่านมีแนวโน้มปรับตัวลดลง หลังประสบกับมาตราการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงกดดัน จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ประกอบกับ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
โดย หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์ ประจำวันที่ 1 ต.ค. 2561
ข่าวเด่น