รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.จนถึงวันที่ 30 เม.ย.63 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 นายกรัฐมนตรึโดยความห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
เนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายและเป็นอันตรายอย่างมากต่อชีวิตของผู้ได้รับเชื้อ ประกอบกับในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค ทั้งยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง จึงมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลกต้องประกาศให้การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นการระบาดใหญ่ และขอให้ประเทศในกลุ่มอาเซียนบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดเด็ดขาดยิ่งขึ้น
การระบาดของโรคดังกล่าวจึงเป็นสถานการณ์อันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งต้องใช้มาตรการเข้มงวดและเร่งด่วนเพื่อควบคุมมิให้โรคแพร่ระบาดออกไปในวงกว้าง ประกอบกับมีการกักตุนสินค้าจำเป็นต่อการเฝ้าระวังและควบคุมติดตามการระบาด การป้องกัน และการรักษาโรค ตลอดจนการกักตุนเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ซึ่งต้องป้องกันมิให้เกิดภาวะขาดแคลนอันจะเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน กรณีจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยของประชาชน และการดำรงชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน
ส่วนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปควบคู่กัน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแถลงว่า มีความจำเป็นเพิ่มมาตรการเข้มข้นหยุดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-ลดผลกระทบเศรษฐกิจแถลงความจำเป็นเพิ่มมาตรการเข้มข้นหยุดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-ลดผลกระทบเศรษฐกิจ จึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรเพื่อควบคุมโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงตั้งแต่ 26 มี.ค.- 30 เม.ย.2563 พร้อมอัพเดทข้อมูลวันละ 1 ครั้ง เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างถูกต้อง
ซึ่งยืนยันไม่ออกคำสั่งปิดร้านค้าที่จำหน่ายสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ยอมรับว่ามาตรการที่เข้มข้นขึ้นอาจกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันขอประชาชนให้ความร่วมมือ และให้คำมั่นสัญญาว่าจะฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยดี
ข่าวเด่น