ไทยออยล์ วิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน ประจำวันที่ 13 พ.ค. ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่ม หลังตัวเลขการส่งออกน้ำมันดิบสหรัฐฯ แตะระดับต่ำสุดตั้งแต่ ต.ค. 61
+ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับเพิ่มแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 สัปดาห์ หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานตัวเลขการส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐประจำสัปดาห์ก่อนหน้า ปรับลดมาอยู่ที่ระดับ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 61 ขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับลดลง 0.4 ล้านบาร์เรล
+ องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) กล่าวในรายงานประจำเดือน พ.ค. 64 ว่า การเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมันดิบภายใต้แผนการผลิตปัจจุบันของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการฟื้นตัวของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก โดย API คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 5.4 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปีก่อนหน้า
+ ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนหลัง ตัวเลข GDP ของสหราชอาณาจักรในเดือน มี.ค. 64 ฟื้นตัวดีกว่าคาด ประกอบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 12 ปี ตามความต้องการใช้ที่ฟื้นตัว
ราคาน้ำมันดิบ
เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล 12 พ.ค. 64 เปลี่ยนแปลง
เวสต์เท็กซัส 66.08 +0.80
เบรนท์ 69.32 +0.77
ดูไบ 66.67 +0.98
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปประเทศสิงคโปร์
เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล 12 พ.ค. 64 เปลี่ยนแปลง
เบนซินออกเทน 95 76.57 +1.32
น้ำมันก๊าดและอากาศยาน 72.59 +1.38
ดีเซลหมุนเร็ว (0.05% S) 72.69 +1.49
น้ำมันเตา (3.5% S) 60.86 +1.54
ราคาน้ำมันเบนซิน
ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังความต้องการใช้น้ำมันเบนซินในประเทศอินโดนีเซียเริ่มพื้นตัว อย่างไรก็ตาม ราคาได้รับแรงกดดันหลังสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) รายงานปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสหรัฐฯ สิ้นสุดวันที่ 7 พ.ค. 64 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.64 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันดีเซล
ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงสนับสนุนจากปริมาณการส่งออกน้ำมันดีเซลจากภูมิภาคเอเชียไปยังตะวันตกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในภูมิภาคเอเชียยังคงได้รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ข่าวเด่น