ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (11 พ.ค.2565) ร่วงลงทุกตลาด โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ปิดที่ 31,834.11 จุด ลบ 326.63 จุด หรือ ลดลง 1.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,935.18 จุด ลบ 65.87 จุด หรือลดลง 1.65% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,364.24 จุด ลบ 373.44 จุด หรือลดลง 3.18%
เนื่องจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่แรงกว่าเดิม นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 3% เมื่อคืนนี้ โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
ทั้งนี้ ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ทางการสหรัฐประกาศ พุ่งขึ้น 8.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.1% แต่ต่ำกว่าระดับ 8.5% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2524
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 6.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.0% แต่ต่ำกว่าระดับ 6.5% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2525
โดย วิล คอมเพอร์นอลล์ นักวิเคราะห์จากบริษัทเอฟเอชเอ็น ไฟแนนเชียล ระบุว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐพุ่งขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะเปิดทางให้เฟดใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น โดยก่อนหน้านี้เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมิ.ย. แต่ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงถึง 0.75%
ข่าวเด่น