ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดตลาดเมื่อคืนนี้ (16 มิ.ย.2565) ร่วงลงทุกตลาด โดยดัชนีดาวโจนส์ หลุดจากระดับ 30,000 จุด เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564
มาปิดที่ 29,927.07 จุด ร่วงลง 741.46 จุด หรือ -2.42%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,666.77 จุด ลดลง 123.22 จุด หรือ -3.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,646.10 จุด ร่วงลง 453.06 จุด หรือ -4.08%
เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังจากธนาคารกลางทั่วโลกได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ นำโดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 28 ปี
ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ขณะที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ -0.25% จากระดับ -0.75% ซึ่งเป็นการขึ้นครั้งแรกในรอบ 15 ปี นอกจากนี้ ธนาคารกลางฮังการี บราซิล บราซิล ไต้หวัน ฮ่องกง และอาร์เจนตินา ก็ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน โดย ทอม เฮนลิน นักวิเคราะห์จากบริษัทแอสเซนท์ ไพรเวท เวลธ์ กรุ๊ป กล่าวว่า การที่ธนาคารกลางทั่วโลกแห่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย และทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านดิ่งลง 14.4% ในเดือนพ.ค. สู่ระดับ 1.549 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2564 โดยได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ดิ่งลงสู่ระดับ -3.3 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 หลังจากแตะระดับ +2.6 ในเดือนพ.ค.
ข่าวเด่น