ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดเมื่อคืนนี้ (14 ก.ค.65) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 30,630.17 จุด ลดลง 142.62 จุด หรือ -0.46%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,790.38 จุด ลดลง 11.40 จุด หรือ -0.30% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,251.19 จุด เพิ่มขึ้น 3.60 จุด หรือ +0.03%
เนื่องจากผิดหวังผลประกอบการธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ ที่เปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง โดยเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเปิดเผยว่า ธนาคารมีกำไรในไตรมาส 2 ลดลง 28% สู่ระดับ 8.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.76 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าระดับ 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 3.78 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากธนาคารต้องกันสำรองหนี้สูญจำนวน 428 ล้านดอลลาร์
ส่วนธนาคารมอร์แกน สแตยลีย์เปิดเผยว่า กำไรในไตรมาส 2 อยู่ที่ 2.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.39 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าระดับ 3.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.85 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากรายได้ที่อ่อนแอในธุรกิจวาณิชธนกิจ
ผลประกอบการที่น่าผิดหวังของธนาคารทั้งสองแห่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ดิ่งลง 3.49% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับตัวลง 0.39% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 3.01% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 0.84% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 2.3% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดิ่งลง 3.05%
ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มวัสดุร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย โดยหุ้นไดมอนด์แบค เอนเนอร์จี ร่วงลง 3.51% หุ้นฮัลลเบอร์ตัน ดิ่งลง 3.39% หุ้นอีโอจี รีซอสเซส ร่วงลง 4.21% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 2% หุ้นเชฟรอน ลดลง 1.48% หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน ร่วงลง 4.56% หุ้นยูเอส สตีล คอร์ป ร่วงลง 4.04%
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 1% ในการประชุมเดือนนี้ หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย.ของสหรัฐพุ่งขึ้น 9.1% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
ข่าวเด่น