ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.65) ร่วงลงทุกตลาด โดยดัชนีดาวโจนส์ ร่วงลง 646.89 จุด หรือลดลง 1.95% ปิดที่ 32,513.94 จุด,ดัชนี S&P 500 ลดลง 2.08% มาปิดที่ 3,748.57 จุด และ ดัชนีแนสแดค ลดลง 2.48% มาปิดที่ 10,353.17 จุด เนื่องจากผลของการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ที่ยังมองไม่เห็นชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ควบคุมสภาคองเกรส
โดยตลาดหุ้นร่วงหลังจากปิดบวกมาติดต่อกัน 3 วันก่อนหน้านี้ นักลงทุนพาคาดหวังว่าพรรครีพับลิกันจะได้เสียงข้างมากในสภาคองเกรส และน่าจะทำให้แผนการเก็บภาษี และการใช้งบประมาณในอนาคตของประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่จะกระทบต่อตลาดไม่สามารถจะดำเนินการได้ แต่เมื่อผลการนับคะแนนออกมามากขึ้นก็เริ่มเห็นแนวโน้มว่ารีพับลิกันอาจจะได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรแบบฉิวเฉียด โดยอาจได้เพียง 222 ที่นั่งจากการคาดการณ์ของ NBC จากทั้งหมด 435 ที่นั่ง ซึ่งอาจจะลำบากในการคัดค้านนโยบายต่างๆ ของเดโมแครตที่เป็นพรรครัฐบาล
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้รับแรงกดดันจากราคาบิตคอยน์ที่ร่วงลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ในภาวะตลาดหมี การร่วงลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Binance แพลตฟอร์มการซื้อขายเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ กล่าวว่า บริษัทเปลี่ยนแผนที่จะเข้าซื้อ FTX คู่แข่ง โดยอ้างผลของการตรวจสอบและประเมินทรัพย์สินตลอดจนหนี้สินของบริษัท และรายงานล่าสุดเกี่ยวกับการใช้เงินทุนของลูกค้าในทางที่ผิด รวมทั้งการสอบสวน FTX ของหน่วยงานสหรัฐฯ การตัดสินใจดังกล่าว กดดันภาวะการซื้อขายโดยรวมสะทม้อนถึงความเสี่ยง และฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลงมา
นอกจากนี้ นักลงทุนก็ยังรอฟังรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนตุลาคมที่จะออกในเช้าวันพฤหัสบดี (10 พ.ย.) นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดย Dow Jones คาดการณ์ว่า CPI ทั่วไปจะเพิ่มขึ้น 7.9% จากปีก่อน ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 8.2% ในเดือนกันยายน
ทั้งนี้ โจฮัน แกรห์น จาก Allianz Investment Management กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง หากดัชนี CPI เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ตลาดน่าจะมีปฏิกิริยาเชิงลบทันที
หุ้นที่ร่วงลงมากที่สุด คือ Walt Disney Co. ที่ปิดลดลงถึง 13.16% เป็นการลดลงในหนึ่งวันที่มากที่สุดในรอบ 21 ปี หลังจากที่บริษัทรายงานว่าขาดทุนมากขึ้นจากการลงทุนด้านวิดีโอสตรีมมิ่ง
ส่วนหุ้นของ Meta Platforms Inc. ปิดบวกไป 5.18% หลังจากการประกาศว่าจะลดพนักงานลง 13% แม้นักลงทุนจะสนับสนุนการตัดสินใจของบริษัทที่จะลดค่าใช้จ่าย แต่ตลาดโฆษณาที่อ่อนตัวลง รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังคงส่งผลต่อรายได้ในอนาคตของบริษัทอย่างมาก
ข่าวเด่น