ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดตลาด (8 ธ.ค.65) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 34.88 บาทต่อดอลลาร์


 
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (8 ธ.ค.65) ที่ระดับ 34.88 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.08 บาทต่อดอลลาร์
 
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนอาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย สอดคล้องกับมุมมองของบรรดาผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ อาทิ Goldman Sachs, JPM และ Bank of America ที่ออกมาแสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในปีหน้า จากผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ความกังวลดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.51% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.19%
 
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.62% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลัก อย่าง สหรัฐฯ และยุโรป อาจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยลดสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP -2.2%, TotalEnergies -2.0%) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากรายงานยอดสต็อกน้ำมันเบนซินรวมถึงน้ำมันกลั่น (Heating Oil และ Diesel) ในสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด
 
ทางด้านตลาดบอนด์ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดยังคงหนุนความต้องการถือ บอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลง สู่ระดับ 3.43% ทั้งนี้ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัว sideways ในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเฟดเดือนธันวาคม (วันพฤหัสฯ หน้า) อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจไม่รุนแรงมากนัก หรือ ยากที่จะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กลับไปสู่ระดับ 4.00% (ยกเว้นว่า เฟดจะส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าระดับ 5%-5.25% ไปมาก) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ ต่างรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเพิ่มสถานะถือครอง ตามมุมมองที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจหลัก ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่เสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
 
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 105.2 จุด กดดันโดยการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินฝั่งยุโรป อาทิ เงินยูโร (EUR) และ เงินปอนด์ (GBP) จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของฝั่งยุโรป ที่ออกมาดีกว่าคาด อย่าง GDP ยูโรโซยในไตรมาสที่ 3 ที่โต +2.3%y/y ดีกว่าที่ตลาดคาด ทั้งนี้ บรรยากาศตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่ถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น กอปรกับ ทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ต่างปรับตัวลดลง ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านแถว 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ซึ่งเรามองว่า การรีบาวด์ของราคาทองคำดังกล่าว อาจทำให้มีผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำได้บ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น
 
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินสถานการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ ผ่าน ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนพฤศจิกายน โดยตลาดคาดว่า ความต้องการสินค้าที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึง ปัญหา Supply Chain ที่คลี่คลายลงไปมาก จะช่วยลดแรงกดดันต่อราคาสินค้าฝั่งผู้ผลิต โดย PPI อาจชะลอลงสู่ระดับ 7.2% จาก 8.0% ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนว่า แรงกดดันต่อเงินเฟ้อทั่วไปในส่วนราคาสินค้า (Goods Inflation) ก็มีแนวโน้มชะลอลง อย่างไรก็ดี แรงกดดันเงินเฟ้อในฝั่งการบริการ (Services Inflation) อาจยังคงอยู่ในระดับสูง หลังจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ โดย ISM (Services PMI) เดือนพฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.5 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก และดัชนีราคาภาคการบริการก็ยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 70 จุด
 
ส่วนในฝั่งไทย เราประเมินว่า ภาพการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจไทยจะสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนพฤศจิกายน ที่อาจปรับตัวขึ้นแตะระดับ 47 จุด    
 
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า แม้ว่าเงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยหนุนก็มาจากทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ แต่ค่าเงินบาทก็ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอตัวลงมากอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ภาวะระมัดระวังตัวและปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักชะลอตัวลงหนัก ก็อาจทำให้ผู้เล่นต่างชาติทยอยขายทำกำไรการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า เงินบาทอาจไม่ได้ผันผวนอ่อนค่าไปมากนัก โดยยังคงมองแนวต้านสำคัญในโซน 35.20 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยซื้อสุทธิบอนด์ไทย ทั้งบอนด์ระยะสั้นและบอนด์ระยะยาว ตามแนวโน้มการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ รวมถึงความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนัก ส่วนในฝั่งผู้ประกอบการ บรรดาผู้ส่งออกบางส่วนก็ต่างรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าเพื่อทยอยขายเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในช่วงใกล้โซนแนวต้านที่เราประเมินไว้
 
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.80-35.00 บาท/ดอลลาร์ 

 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 08 ธ.ค. 2565 เวลา : 10:06:20

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 3:13 am