ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเพียงเล็กน้อยในวันอังคาร (27 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ร่วงลงกว่า 1% เนื่องจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นปัจจัยกดดันหุ้นเติบโต (Growth Stocks) ซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,241.56 จุด เพิ่มขึ้น 37.63 จุด หรือ +0.11%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,829.25 จุด ลดลง 15.57 หรือ -0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,353.23 จุด ร่วงลง 144.64 จุด หรือ -1.38%
ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับข่าวจีนประกาศเปิดประเทศเร็วกว่าคาดทั้งขาเข้าและขาออก โดยจีนจะยกเลิกมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566 หลังจากที่มีการบังคับใช้มานาน 3 ปีเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ จีนจะกลับมาดำเนินการออกวีซ่าให้กับชาวจีนที่อาศัยในแผ่นดินใหญ่สำหรับการเดินทางออกนอกประเทศตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566
แต่ตลาดอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.779% ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการชำระหนี้ที่สูงขึ้นของบริษัทเอกชน เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงการกำหนดราคาตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ
การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นปัจจัยกดดันหุ้นเติบโตซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย อีกทั้งต้องพึ่งพาผลกำไรและการเติบโตในอนาคต ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้รวมถึงหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีทุนจดทะเบียนสูง โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2565 หุ้นเติบโตร่วงลงไปแล้วกว่า 30% เทียบกับหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ที่ปรับตัวลงเพียง 7.5%
อย่างไรก็ดี ข่าวการเปิดประเทศของจีนเป็นปัจจัยหนุนหุ้นบริษทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยหุ้น JD.Com, หุ้นอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และหุ้นพินตัวตัว (Pinduoduo) ปรับตัวขึ้นราว 1.4%-4.9%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ บ่งชี้ว่าดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 9.2% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี แต่ต่ำกว่าระดับ 10.7% ในเดือนก.ย. โดยดัชนีราคาบ้านขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเพราะได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง ตามการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ข่าวเด่น