ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (23 ม.ค.66) ดัชนีปรับขึ้นทุกตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 33,629.56 จุด พุ่งขึ้น 254.07 จุด หรือ +0.76% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,019.81 จุด เพิ่มขึ้น 47.20 จุด หรือ +1.19% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,364.41 จุด พุ่งขึ้น 223.98 จุด หรือ +2.01% โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 2.3% หุ้นไมโครซอฟท์ ดีดขึ้น 0.98% หุ้นแอปเปิ้ล พุ่งขึ้น 2.35% หุ้นอัลฟาเบท เพิ่มขึ้น 1.81% หุ้นเมตา แพลตฟอร์ม พุ่งขึ้น 2.8% นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์พุ่งขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นอินเทล ทะยานขึ้น 3.59% หุ้นอินวิเดีย พุ่งขึ้น 7.59% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี พุ่งขึ้น 5.75% หุ้นควอลคอม พุ่งขึ้น 6.62%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟด กล่าวว่า เฟดอาจใกล้ถึงจุดที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการชะลอเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค. – 1 ก.พ. หลังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงการเปิดเผยตัวเลขประมาณการเบื้องต้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2565 ในวันพฤหัสบดีนี้ และการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันศุกร์ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค
.jpg)
ข่าวเด่น