ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (22 มี.ค.66) ร่วงลงแรงทุกตลาด โดยเฉพาะดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,030.11 จุด ร่วงลง 530.49 จุด หรือ -1.63%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,936.97 จุด ลดลง 65.90 จุด หรือ -1.65% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,669.96 จุด ลดลง 190.15 จุด หรือ -1.60% หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% และนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหากจำเป็น เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%
ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้น หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ตลาดร่วงลงในเวลาต่อมา หลังจากนายเจอโรม พาวเวล แถลงข่าวภายหลังการประชุมโดยระบุว่า “เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหากจำเป็นในการควบคุมเงินเฟ้อ แม้เรารู้ว่าภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค แต่แน่นอนว่า เฟดจะดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินต่อไปเพื่อฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%”
ถ้อยแถลงดังกล่าวของนายพาวเวลทำให้นักลงทุนกังวลว่า การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ จะส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ภาคธนาคารของสหรัฐกำลังเผชิญวิกฤตการณ์ นับแตั้งแต่การล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และซิกเนเจอร์ แบงก์ (SB)
ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐแถลงต่อสภาคองเกรสว่า บรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ไม่มีการพิจารณาเรื่องการคุ้มครองเงินฝากทั้งหมดของภาคธนาคาร ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้นักลงทุนผิดหวัง หลังจากที่ก่อนหน้านี้สื่อหลายสำนักรายงานว่า กระทรวงการคลังสหรัฐกำลังศึกษาแนวทางในการทำให้ FDIC สามารถคุ้มครองเงินฝากได้ทั้ง 100% จากปัจจุบันที่ให้การคุ้มครองไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์
ข่าวเด่น