ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (24 เม.ย.66) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,875.40 จุด เพิ่มขึ้น 66.44 จุด หรือ +0.20%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,137.04 จุด เพิ่มขึ้น 3.52 จุด หรือ +0.09% และ
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,037.20 จุด ลดลง 35.25 จุด หรือ -0.29%
ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน โดยแม้ว่าดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 ปิดในแดนบวก แต่ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1 ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทไมโครซอฟท์, อัลฟาเบท, อะเมซอน และเมตา แพลตฟอร์มส์
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง 0.4% โดยหุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 1.40% หุ้นอะเมซอน ลดลง 0.70%
ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ตลาดฟิลาเดลเฟีย (PHLX Semiconductor Index) ปรับตัวลง 0.5% เนื่องจากข้อพิพาทระหว่างจีนและหลายประเทศ โดยล่าสุดญี่ปุ่นออกมาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปที่ทันสมัย 23 ชนิดให้กับจีน ซึ่งเป็นการเข้าร่วมกับสหรัฐในการสกัดไม่ให้จีนเข้าถึงชิปที่ทันสมัย เนื่องจากกังวลว่าจีนอาจใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหาร
หุ้นเทสลา ร่วงลง 1.5% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์การใช้จ่ายด้านทุนในปี 2566 เพื่อกระตุ้นการผลิต
หุ้นเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ (Bed Bath & Beyond) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกเครื่องใช้ภายในบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ ทรุดตัวลง 35.7% หลังจากบริษัทตัดสินใจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 11 ของกฎหมายล้มละลายมื่อวันอาทิตย์อาทิตย์ที่ผ่านมา (23 เม.ย.) ภายหลังจากประสบความล้มเหลวในการระดมเงินทุนเพื่อพยุงกิจการ
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.5% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยราคาบ้านเดือนก.พ.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์และยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค., ในวันพุธจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค., วันพฤหัสบดีจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2566 (ประมาณการเบื้องต้น) ส่วนวันศุกร์จะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมี.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยข้อมูลจาก Refinitiv IBES ระบุว่าขณะนี้มีบริษัท 90 แห่งในดัชนี S&P500 ที่รายผลประกอบการไตรมาส 1/2566 แล้ว โดยในจำนวนนี้มีเกือบ 77% ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ข่าวเด่น