ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (25 เม.ย.66) ร่วงลงทุกตลาด โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 33,530.83 จุด ร่วงลง 344.57 จุด หรือ -1.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,071.63 จุด ลดลง 65.41 จุด หรือ -1.58% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,799.16 จุด ร่วงลง 238.05 จุด หรือ -1.98% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว หลังจากบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงบริษัทยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (ยูพีเอส) ซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งพัสดุภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ รายงานผลประกอบการที่อ่อนแอลง รายได้อยู่ที่ 2.293 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.301 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 2.20 ดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.21 ดอลลาร์ นอกจากนี้ ยูพีเอสยังได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2566 ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า กำไรและรายได้ที่ต่ำกว่าคาดของยูพีเอสเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
ผลประกอบการที่อ่อนแอลงของยูพีเอส ทำให้ราคาหุ้นยูพีเอสร่วงลง 10% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2549 และได้ฉุดดัชนีหุ้นกลุ่มการขนส่งที่คำนวณในดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Transport Average Index) ร่วงลง 3.6% ซึ่งเป็นการดิ่งลงในวันเดียวที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2565 โดยหุ้นเฟดเอ็กซ์ ร่วงลง 2.88% หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 3.28% หุ้นไรเดอร์ ซิสเต็มส์ ดิ่งลง 2.52%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในภาคธนาคาร หลังมีรายงานว่าลูกค้าแห่ถอนเงินจำนวนมากออกจากธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ จนทำให้ราคาหุ้นธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ (FRB) ทรุดตัวลง 49% ซึ่งทาง FRB เปิดเผยว่า ยอดเงินฝากลดลง 40.8% สู่ระดับ 1.045 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1/2566 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.450 แสนล้านดอลลาร์
สัปดาห์นี้นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2566 และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมี.ค. โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพราะสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
ข่าวเด่น