ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันนี้ (2 พ.ค.66) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์


 

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (2 พ.ค.66 )ที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.13 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในช่วงคืนวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าใกล้โซน 34.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ดีกว่าคาด ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์

สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่ ในสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ได้ช่วยหนุนให้ตลาดการเงินกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเตรียมรับมือความผันผวนในสัปดาห์ที่ตลาดจะเผชิญทั้งการประชุมเฟด และ การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) พร้อมรอลุ้นรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมสหรัฐฯ และ รายงานผลประกอบการ

 
 
 
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

? ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาใกล้ชิด คือ การประชุมเฟด (รู้ผลการประชุมในช่วง 01.00 น. ของวันที่ 4 พฤษภาคม ตามเวลาในประเทศไทย) โดยเราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ถึงจะชะลอลง แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง และยังมีแรงหนุนเงินเฟ้อจากภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัวอยู่ จะทำให้เฟดตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 5.00%-5.25% อย่างไรก็ดี ภาวะการปล่อยสินเชื่อที่ตึงตัวขึ้นชัดเจน จากปัญหาสภาพคล่องของระบบธนาคารสหรัฐฯ และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะทำให้เฟดส่งสัญญาณหยุดการขึ้นดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินสถานการณ์และผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เราจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจ คือ ความเสี่ยงการเมืองสหรัฐฯ จากประเด็นเพดานหนี้ (Debt Ceiling) ซึ่งน่าสนใจว่า ประธานเฟด รวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะมีมุมมองต่อประเด็นดังกล่าวอย่างไร ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและตึงตัว สะท้อนผ่าน ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนเมษายน ที่จะเพิ่มขึ้นราว 1.8 แสนตำแหน่ง ส่วนการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ก็อาจยังคงสูงราว +4.2%y/y นอกจากนี้ ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใส จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ภาคการบริการของสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวได้ดี โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนเมษายน อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.8 จุด ตามการปรับตัวขึ้นของยอดคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงานในภาคการบริการ และนอกเหนือจากผลการประชุมเฟดและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้

? ฝั่งยุโรป – เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะชะลอลงมาบ้าง (ตลาดมองอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนเมษายน อาจอยู่ที่ระดับ 7.00% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI จะอยู่ที่ระดับ 5.7%) กอปรกับภาพรวมเศรษฐกิจยูโรโซนที่ไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจน โดยเฉพาะในฝั่งภาคการบริการที่ยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง จะหนุนให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.50% โดย Deposit Facility Rate จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.50% (ตลาดมองว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +0.25%) นอกจากนี้ เรามองว่า ECB จะส่งสัญญาณชัดเจนว่าการขึ้นดอกเบี้ยยังไม่จบและ ECB ยังมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อ จนกว่าจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ และนอกเหนือจากผลการประชุม ECB ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ ซึ่งอาจช่วยสะท้อนแนวโน้มของภาคการผลิตอุตสาหกรรมของยุโรปได้

? ฝั่งเอเชีย – แนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อ และภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงผลของการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา อาจหนุนให้ทั้งธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3.60% และ 2.75% ตามลำดับ

? ฝั่งไทย – เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI เดือนเมษายน อาจชะลอลงสู่ระดับ 2.55% ตามการปรับตัวลดลงของราคาพลังงานและราคาเนื้อสัตว์ อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจและต้นทุนที่ยังสูงอยู่ ซึ่งอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ก็อาจทรงตัวที่ 1.75% ทั้งนี้ แม้อัตราเงินเฟ้อจะชะลอลงแต่เราคงมองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 2.00%

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในกรอบเดิมต่อ โดยปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าอาจมาจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ โฟลว์ซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟด และ ECB ซึ่งเป็นวันหยุดของตลาดการเงินไทย ในเชิงเทคนิคัล เส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน (แถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์) ยังคงเป็นแนวต้านแรกของเงินบาท ส่วนแนวรับสำคัญจะเป็นโซน 33.80-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรายังคงเห็นผู้เล่นบางส่วนทยอยซื้อเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าวอยู่

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มเชื่อว่าเฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ (จับตาว่า ดัชนีเงินดอลลาร์ DXY จะสามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านแถว 102.5 จุด ได้หรือไม่) อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงได้เร็ว หากเฟดส่งสัญญาณเตรียมหยุดขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ ECB กลับย้ำจุดยืนพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.80-34.50 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.05-34.30 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 02 พ.ค. 2566 เวลา : 09:44:00

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 2:40 am