ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (2 พ.ค.66) ร่วงลงทุกตลาด โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,684.53 จุด ร่วงลง 367.17 จุด หรือ -1.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,119.58 จุด ลดลง 48.29 จุด หรือ -1.16%, และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,080.51 จุด ลดลง 132.09 จุด หรือ -1.08% เนื่องจากถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารของสหรัฐ รวมทั้งความกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันนี้ และความเสี่ยงที่สหรัฐจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงอย่างหนัก โดยดัชนี KBW Regional Banking Index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาค ดิ่งลง 5.5% ซึ่งปรับตัวลงเป็นเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.ปีนี้ หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐได้เข้าควบคุมกิจการธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ (FRB) และเปิดทางให้เจพีมอร์แกนเข้าซื้อกิจการของ FRB
นางคริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่า ภาคธนาคารของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเปราะบางมากขึ้น แม้เจพีมอร์แกนซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เข้าซื้อกิจการ FRB
“การเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำไปเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้น ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาคธนาคารอ่อนแอลง และคาดว่าผลกระทบนั้นยังไม่หมดสิ้น การที่เจพีมอร์แกนเข้าซื้อกิจการ FRB ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีบัตรผ่านเสมอไป และไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เผชิญกับภาวะเปราะบางเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต” นางกอร์เกียร์วากล่าวในที่ประชุม “2023 Milken Institute Global Conference” ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ไม่นานหลังจากเจพีมอร์แกนเข้าซื้อกิจการ FRB ในวันจันทร์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ตลาดยังวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐ หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เตือนว่า สหรัฐอาจเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ภายในวันที่ 1 มิ.ย. หากสภาคองเกรสไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้ก่อนเส้นตายในวันดังกล่าว
ทั้งนี้ การคาดการณ์ของนางเยลเลนเกี่ยวกับกำหนดเส้นตายของการผิดนัดชำระหนี้นั้น เร็วกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ โดยโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ล่าสุดว่ารัฐบาลสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในช่วงปลายเดือนก.ค.
ข่าวเด่น