ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
ค่าเงินบาทเปิดตลาด (16 พ.ค.66) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์


 
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (16 พ.ค.66) ที่ระดับ  33.74 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.79 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ (US Debt Ceiling) ขณะเดียวกันรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่าง ดัชนีภาคการผลิต (NY Empire Manufacturing Index) เดือนพฤษภาคม ก็ดิ่งลงสู่ระดับ -31.8 จุด แย่กว่าคาดและยังคงสะท้อนภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการผลิต อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ อาทิ Meta +2.2%, Nvidia +2.2% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.66% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.30%
 
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย +0.25% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ Axa +2.4% อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB รวมถึงรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน ซึ่งจะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมได้อย่างมีนัยสำคัญ
 
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 102.5 จุด กดดันโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึงความกังวลต่อปัญหาการเจรจาขยายเพดานหนี้ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ต่างออกมาปฏิเสธการลดดอกเบี้ยของเฟดในช่วงปลายปี ตามที่ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงบ้าง แต่ทว่าท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ยังคงสนับสนุนการคงนโยบายการเงินที่เข้มงวดและตึงตัวของเฟดก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ยังคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ ก่อนที่ราคาทองคำจะย่อตัวลงสู่ระดับ 2,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นโซนแนวรับอีกครั้ง
 
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) โดยตลาดคาดว่า ยอดค้าปลีกในเดือนเมษายนอาจพลิกกลับมาขยายตัว +0.7% จากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับภาวะการจ้างงานที่ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกที่ขยายตัวขึ้นส่วนหนึ่งก็อาจมาจากการปรับตัวขึ้นของยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิง หลังราคาพลังงานปรับตัวขึ้นในเดือนเมษายนพอสมควร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาการเจรจาขยายเพดานหนี้ระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับฝั่งผู้นำสภาผู้แทนฯ ของพรรครีพับลิกัน และที่สำคัญ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้
 
ในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป ผ่านดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Survey) ในเดือนพฤษภาคม อาจปรับตัวลดลงแรงสู่ระดับ -5.5 จุด สะท้อนว่า บรรดานักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองที่เชิงลบหรือกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนีมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากผลกระทบของการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงภาวะค่าครองชีพสูง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงิน ECB
 
ส่วนในเอเชีย ไฮไลท์สำคัญ คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนเมษายน อาจขยายตัว +20%y/y สอดคล้องกับการรายงานดัชนี PMI ภาคการบริการก่อนหน้าที่ยังคงอยู่ในระดับเกิน 50 จุด สะท้อนการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ
 
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวผันผวนไปตามทิศทางเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทองคำ โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ก่อนที่เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์
 
แม้ว่า เงินบาทจะมีทิศทางแข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า หลังตลาดรับรู้ผลการเลือกตั้ง แต่จะเห็นได้ว่า ความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาลผสม ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความกังวลต่อปัญหาการเมือง ซึ่งเรามองว่า ประเด็นดังกล่าวอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนรอทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) และจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากจนทะลุแนวรับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ที่เราประเมินไว้ นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้กลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทย อย่างที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า สะท้อนถึงความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์หลังการเลือกตั้งของไทยได้
 
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และประเด็นการเจรจาขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้บ้าง (เราคงมุมมองเดิมว่า เงินดอลลาร์จะมี upside ที่จำกัดในระยะสั้นจากปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าว)
 
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
 
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-33.90 บาท/ดอลลาร์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 16 พ.ค. 2566 เวลา : 10:30:08

22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 2:22 am