ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (7 มิ.ย.66) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,665.02 จุด เพิ่มขึ้น 91.74 จุด หรือ +0.27%,ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,267.52 จุด ลดลง 16.33 จุด หรือ -0.38% และ
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,104.89 จุด ลดลง 171.52 จุด หรือ -1.29% โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานที่ หลังราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นกว่า 1% โดยหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวพุ่งขึ้น อาทิ หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.24% หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 2.59% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 2.82% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ทะยานขึ้น 4.23%
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นโจนส์ แลง ลาซาลล์ พุ่งขึ้น 3.8% หุ้นอาร์มาดา ฮอฟเฟอร์ พร็อพเพอร์ตีส์ ปรับตัวลง 3.39% หุ้นอเมริกัน เรียลตี้ อินเวสเตอร์ส ทะยานขึ้น 8.02%
อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนสูงและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ร่วงลง 2.77% หุ้นแอปเปิ้ล ลดลง 0.78% หุ้นอัลฟาเบท ดิ่งลง 3.78% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 3.09%
ตลาดยังถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีและ 10 ปี หลังจากธนาคารกลางแคนาดาประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.75% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้าเช่นกัน
ขณะที่ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.10% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 11 ปี และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะตรึงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับ 3.85%
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 30% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 21.8% และให้น้ำหนัก 69% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ 5.00-5.25% ซึ่งลดลงจากระดับ 77%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้น้ำหนัก 65% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ค.นี้
ข่าวเด่น