ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (20 ก.ค.66) ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 9 ทำสถิติขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดในรอบ 6 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 2560 โดยอยู่ที่ 35,225.18 จุด เพิ่มขึ้น 163.97 จุด หรือ +0.47%,ขณะที่ ดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ ที่ 4,534.87 จุด ลดลง 30.85 จุด หรือ -0.68% และดัชนี Nasdaq ดิ่งลงที่ 14,063.31 จุด ร่วงลง 294.71 จุด หรือ -2.05% เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังผลประกอบการของบริษัทเทสลา และเน็ตฟลิกซ์
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยล่าสุดบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 2.80 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.62 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 2.553 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.462 หมื่นล้านดอลลาร์
สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 5.03 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.03 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 1.418 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.391 หมื่นล้านดอลลาร์
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดช่วยหนุนหุ้น J&J ปิดตลาดพุ่งขึ้น 6.07% และหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 3.2%
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการที่น่าผิดหวังของเทสลาและเน็ตฟลิกซ์ได้ฉุดดัชนี Nasdaq ร่วงลง 2.05% ซึ่งเป็นการดิ่งลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.ปีนี้
ราคาหุ้นเทสลาปิดตลาดร่วงลง 9.74% หลังจากบริษัทเปิดเผยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ลดลงสู่ระดับ 18.2% ในไตรมาส 2/2566 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 18.8% นอกจากนี้ นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลากล่าวว่า การผลิตรถยนต์ของเทสลาจะชะลอตัวลงในไตรมาส 3 ปีนี้ เนื่องจากมีการปิดโรงงานหลายแห่งเพื่อทำการปรับปรุงในช่วงฤดูร้อน
หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 8.41% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 8.19 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 8.30 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ นักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นเน็ตฟลิกซ์ หลังจากราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 60% นับตั้งแต่ต้นปี 2566
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 228,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 242,000 ราย
ขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 18.9% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดสำหรับยอดขายในเดือนมิ.ย.นับตั้งแต่ปี 2552 โดย NAR ระบุว่ายอดขายบ้านมือสองชะลอตัวลงเนื่องจากสต็อกบ้านในตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ โดยสต็อกบ้านลดลง 13.6% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี อยู่ที่ระดับ 1.08 ล้านยูนิต
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ก.ค.นี้ ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของปีนี้
ข่าวเด่น