ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.66) ร่วงแรง โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,282.52 จุด ลดลง 348.16 จุด หรือ -0.98%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,513.39 จุด ลดลง 63.34 จุด หรือ -1.38% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,973.45 จุด ลดลง 310.47 จุด หรือ -2.17% เนื่องจากฟิทช์ เรทติ้งส์ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ โดยปรับลดอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) ของสหรัฐ ลงสู่ระดับ AA+ จากระดับ AAA โดยระบุถึงสถานะการคลังของสหรัฐที่มีแนวโน้มถดถอยลงในช่วง 3 ปีข้างหน้า และภาระหนี้สินที่สูงขึ้น
ฟิทช์มองว่า ภาวะชะงักงันทางการเมืองส่งผลให้หนี้สินของสหรัฐพุ่งชนเพดานหนี้บ่อยครั้ง และส่วนใหญ่จะรอดพ้นการผิดนัดชำระหนี้ในนาทีสุดท้าย ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นในด้านการบริหารการคลัง โดยฟิทช์คาดการณ์ว่ายอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 6.3% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2566 จากระดับ 3.7% ในปี 2565
สหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจากฟิทช์เรทติ้งส์ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกเมื่อปี 2554 สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงเช่นกัน สู่ระดับ AA+ จากระดับ AAA หลังสหรัฐรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้แบบเฉียดฉิว ซึ่ง S&P มองว่าความเสี่ยงทางการเมืองเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 2.6% หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 เดือน โดยหุ้นเทสลา ร่วงลง 2.67% หุ้นอินวิเดีย ดิ่งลง 4.81% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ ร่วงลง 2.6% หุ้นแอปเปิ้ล ลดลง 1.55% หุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 2.63%
หุ้นบริษัทเทคโนโลยีของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง ซึ่งรวมถึงหุ้น JD.com, ไป่ตู้ และอาลีบาบา หลังจาก CAC ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านไซเบอร์ของจีนประกาศว่า จีนเตรียมออกกฎห้ามเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้โทรศัพท์มือถือนานกว่า 2 ชั่วโมงต่อวันเพื่อป้องกันการเสพติดมือถือของเยาวชน นอกจากนี้ ยังกำหนดให้สมาร์ตโฟนจะต้องมีฟังก์ชัน “minor mode” สำหรับเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยฟังก์ชั่นดังกล่าวจะต้องปรากฎขึ้นบนหน้าจอทันทีที่มีการเปิดเครื่อง
หุ้นซีวีเอส เฮลธ์ คอร์ป ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายยาขนาดใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 3.28% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 2/2566 โดยได้แรงหนุนจากการปรับลดค่าใช้จ่าย และปลดพนักงานจำนวนหลายพันคน
นักลงทุนยังคงจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า 82% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 แล้ว มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับข้อมูลแรงงานที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 324,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 175,000 ตำแหน่ง โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของตัวเลขจ้างงานในธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นักลงทุนรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรจากกระทรวงแรงงานสหรัฐในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 209,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.6% ในเดือนก.ค.
ข่าวเด่น