ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (7 ก.ย.66) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,500.73 จุด เพิ่มขึ้น 57.54 จุด หรือ +0.17% ขณะที่ ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,451.14 จุด ลดลง 14.34 จุด หรือ -0.32% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,748.83 จุด ลดลง 123.64 จุด หรือ -0.89% โดยตลาดถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นแอปเปิ้ล หลังมีรายงานเกี่ยวกับการควบคุมการใช้โทรศัพท์ iPhone ในจีน นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานในสหรัฐที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิ้ล ร่วงลงเกือบ 3% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันวันที่ 2 หลังสื่อรายงานว่า จีนได้สั่งห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐบาลกลางใช้โทรศัพท์ iPhone ของบริษัทแอปเปิ้ลและอุปกรณ์สื่อสารแบรนด์ต่างชาติรายอื่นๆ ในการทำงาน หรือพกเข้าสำนักงาน และล่าสุดมีรายงานว่า จีนจะขยายขอบข่ายคำสั่งห้ามดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงบริษัทของรัฐบาล และหน่วยงานต่างๆ ที่รัฐบาลจีนให้การสนับสนุน
ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลจีนยังไม่ได้เผยแพร่คำสั่งห้ามดังกล่าวต่อสาธารณชน แต่ก็ทำให้ตลาดวิตกกังวลว่าแอปเปิ้ลอาจจะติดอยู่ในวงล้อมของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ และอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของแอปเปิ้ลซึ่งครองตลาดสมาร์ตโฟนในจีนและพึ่งพาจีนในฐานะหนึ่งในตลาดใหญ่ที่สุดของแอปเปิ้ล
การร่วงลงของหุ้นแอปเปิ้ลได้ฉุดดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (S&P500 technology sector) ร่วงลง 1.6% นอกจากนี้ ยังได้ฉุดหุ้นบริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์ให้กับแอปเปิ้ล และหุ้นบริษัทชิปที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีนด้วย โดยหุ้นอินวิเดีย ลดลง 1.74% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (AMD) ร่วงลง 2.46% หุ้นซีเกต เทคโนโลยี ดิ่งลง 10.1% หุ้นสกายเวิร์คส์ โซลูชันส์ ร่วงลง 7.35% และหุ้นควอลคอมม์ ร่วงลง 7.22%
ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลว่า ข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐอาจจะทำให้เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 216,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนหรือนับตั้งแต่เดือนก.พ. และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 234,000 ราย
หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว นักลงทุนให้น้ำหนัก 45.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75% ในการประชุมวันที่ 1 พ.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 37.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และ 28.6% เมื่อเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังถูกกดดันจากรายงานที่ว่า ยอดส่งออกเดือนส.ค.ของจีนลดลง 8.8% ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากอุปสงค์สินค้าจีนในต่างประเทศชะลอตัวลง ส่วนยอดนำเข้าลดลง 7.3% ในเดือนส.ค.
อย่างไรก็ดี หุ้นแมคโดนัลด์ ดีดตัวขึ้น 1.05% และเป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวก หลังจากนักวิเคราะห์ของธนาคารเวลส์ฟาร์โกได้ปรับเพิ่มมุมมองความน่าลงทุนของหุ้นแมคโดนัลด์ขึ้นสู่ระดับ “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight)”
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐ ในวันพุธที่ 13 ก.ย.นี้ เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ย ก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 19-20 ก.ย.
ข่าวเด่น